เมื่อ Robyn Fenty ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกในชื่อ Rihanna เปิดตัว Fenty Beauty ในปี 2017 เธอพยายามสร้างบริษัทเครื่องสำอางที่ทำให้ “ผู้หญิงทุกคน (รู้สึก) มีส่วนร่วมด้วย” ซึ่งผลที่ตามมาก็ทำให้เธอก้าวเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านอย่างเป็นทางการ
Forbes คาดการณ์ว่า
Rihanna มีมูลค่าทรัพย์สิน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เธอเป็นนักดนตรีหญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเป็นอันดับ 2 รองจาก
Oprah Winfrey ในฐานะเอนเตอร์เทนเนอร์หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ทว่ามูลค่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเธอไม่ได้มากจากอาชีพการงานของเธอในฐานะนักดนตรีและนักแสดงที่ติดอันดับชาร์ต แต่มาจาก
Fenty Beauty ธุรกิจเครื่องสำอางมูลค่า 2.8 พันล้านเหรียญ ซึ่งเธอมีสัดส่วนการถือครองอยู่ที่ร้อยละ 50 หรือประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญ ขณะที่รายได้อีกส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจชุดชั้นใน
Savage x Fenty ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 270 ล้านเหรียญ
Rihanna อาจไม่ใช่คนดังเพียงคนเดียวที่ใช้ประโยชน์จากการมีตัวตนในโซเชียลมีเดียของเธอ ด้วยผู้ติดตาม 101 ล้านคนบน Instagram และ 102.5 ล้านคนบน Twitter เพื่อสร้างแบรนด์ความงาม แต่เธอก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอเป็นผู้ประกอบการด้านความงามที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
เห็นได้จาก Fenty Beauty ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้า 50-50 กับอาณาจักรสินค้าลักชัวรีจากฝรั่งเศส
LVMH (ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ
Bernard Arnault บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 2 ของโลก) เปิดตัวในปี 2017 โดยมีเป้าหมายในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย
อาทิเช่น รองพื้นที่มีให้เลือกถึง 50 เฉดสี รวมถึงเฉดสีเข้มที่หาได้ยากสำหรับผู้หญิงผิวสี ทั้งยังออกแบบโฆษณาให้ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความหลากหลายอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งหลังจากที่วางจำหน่ายทั้งทางออนไลน์และที่ร้าน Sephora บริษัทค้าปลีกในเครือ LVMH ก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี โดยในปี 2018 LVMH เผยว่า ทางบริษัทสามารถสร้างรายได้มากกว่า 550 ล้านเหรียญ ชนะแบรนด์ดังอื่นๆ เช่น Kylie Cosmetics ของ Kylie Jenner, KKW Beauty ของ Kim Kardashian West และ Honest Co. ของ Jessica Alba
“ผู้หญิงจำนวนมากรู้สึกว่าไม่มีเฉดใดที่เหมาะกับสีผิวของพวกเธอ” Shannon Coyne ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค Bluestock Advisors กล่าว
“เราทุกคนรู้ว่านั่นไม่ใช่ความจริง เธอเป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่ออกมาและพูดว่า ‘ฉันต้องการพูดคุยกับผู้คนที่แตกต่างกันทั้งหมด' ”
แม้ว่ายอดขายเครื่องสำอางจะชะลอตัวลงในช่วงวิกฤตโรคระบาด แต่บริษัทด้านความงามกลับมีมูลค่ามหาศาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หุ้นของกลุ่มบริษัทความงามรายใหญ่อย่าง Estee Lauder และ L'Oreal ปรับตัวสูงขึ้น ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยซื้อขายกันที่ 7.5 (หรือมากกว่า) ของรายได้ต่อปี ในขณะเดียวกัน แบรนด์ Beautycounter และ Charlotte Tilbury ก็ได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัทการลงทุนเมื่อต้นปีนี้เช่นกัน
ด้าน LVMH ก็ได้ระบุในรายงานประจำปี 2020 ว่า
Fenty Skin ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วนั้น
“เริ่มต้นได้อย่างสดใส” และ
“สร้างกระแสฮือฮาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ขณะที่
Fenty Beauty “ยังคงรักษาความน่าดึงดูดใจในฐานะแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำไว้ได้”
ทั้งนี้ Fenty Beauty ไม่ใช่แบรนด์มูลค่าพันล้านเหรียญเพียงแบรนด์เดียวของ Rihanna เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Savage x Fenty ซึ่งเป็นธุรกิจชุดชั้นในมูลค่า 1 พันล้านเหรียญที่เธอถือหุ้นอยู่ร้อยละ 30 ก็สามารถระดมทุนได้อีก 115 ล้านเหรียญ โดยคาดว่าเงินในส่วนนี้จะถูกนำไปใช้ในการขยายธุรกิจต่อไป
Savage x Fenty เปิดตัวในปี 2018 โดยการร่วมทุนกับ TechStyle Fashion Group และได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจาก Marcy Venture Partners ของ Jay-Z และ L. Catterton บริษัทไพรเวทอิควิตี้ (ซึ่ง Bernard Arnault เป็นนักลงทุน)
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ Rihanna เข้าลงทุนจะสร้างรายได้ให้กับเธอเสมอไป ในเดือนกุมภาพันธ์ LVMH และ Rihanna ยืนยันกับ
Forbes ว่าพวกเขาได้ปิดกิจการอื่นๆ ซึ่งเป็นสินค้าแฟชั่นและเครื่องประดับระดับไฮเอนด์ภายใต้แบรนด์ Fenty ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ด้วยความพยายามที่จะขยายแบรนด์ของ Rihanna ให้ครอบคลุมสไตล์ที่หลากหลาย แต่ด้วยพิษของวิกฤตโควิดจึงจำเป็นต้องวางจำหน่ายคอลเล็กชั่นสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน 2020
ทั้งนี้ สิ่งเดียวที่แฟนเพลงบางคนอาจพร่ำบ่นเกี่ยวกับอาชีพการงานของเธอในฐานะเจ้าแม่แฟชั่นและความงาม คือ การที่นักร้องสาวผู้ซึ่งเคยออกอัลบั้มแทบทุกปี ไม่มีเวลาว่างให้เธอมาออกอัลบั้มใหม่อีกเลยตั้งแต่ปี 2016
แต่หากมองจากมุมมองทางการเงิน นั่นอาจเป็นสิ่งที่ดี เพราะ
“เธอกำลังสร้างแบรนด์นอกตัวเธอเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับ Rihanna เท่านั้น” Coyne ที่ปรึกษากล่าว
“แม้ว่าคุณจะไม่ชอบดนตรีของเธอ แต่เธอก็สร้างสไตล์ที่แท้จริงในด้านแฟชั่นและความงาม”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ LVMH อาณาจักรเหนือกาลเวลาของ Bernard Arnault โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม:
LVMH อาณาจักรเหนือกาลเวลาของ Bernard Arnault