Jake Paul ยูทูบเบอร์ที่ได้สร้างทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียให้ตัวเองมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขาได้สร้างชื่อเสียงใหม่ให้กับตัวเองอีกครั้งในฐานะนักมวยหลักล้าน
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Jake Paul ทำให้หลายคนแอบหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาเทียบตัวเองกับ Muhammad Ali, Mike Tyson และ Floyd Mayweather ก่อนที่จะขึ้นชกครั้งที่ 4 ด้วยซ้ำ แต่ยูทูบเบอร์ผู้ผันตัวเป็นนักชกสุดที่บางคนก็รัก บางคนก็เกลียดคนนี้อาจจะทำให้เราเห็นว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า เพราะแม้ว่ากำปั้นของเขาจะไม่เคยเป็นดังปากพูด แต่เงินที่เขามีอยู่ก็สามารถผลักให้เขาติดโผเดียวกับดาวกีฬาอันดับโลกผู้ยิ่งใหญ่มากมาย
Forbes คาดว่า ในปี 2021 เขากอบโกยเงินมาได้ถึง 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนเสียภาษีจากการชนะมวยทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งทำให้สถิติปัจจุบันของเขาอยู่ที่ 5 ต่อ 0 ทั้งนี้ ยังมีอีก 5 ล้านเหรียญที่ได้มาจากธุรกิจอื่นๆ ของเขา ซึ่งนั่นก็รวมถึงช่องวิดีโอของเขาด้วย โดย Paul เป็นยูทูบเบอร์อันดับ 2 ในทำเนียบยูทูบเบอร์รายได้สูงสุดในโลกประจำปี 2021 เป็นกลับมาสู่ทำเนียบนี้ครั้งแรกหลังจากก้าวเท้าเข้ามาในปี 2018 และหลุดโผไป
เม็ดเงิน 45 ล้านเหรียญผลักดันให้เขาติดอันดับที่ 20 ในการจัดอันดับนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดในโลกประจำปีที่แล้วของ Forbes แซงหน้านักชกอีกคนที่สามารถติด 50 อันดับแรกได้ ซึ่งนักชกคนนั้นก็คือ Canelo Alvareza ผู้คว้าอันดับ 48 มาได้พร้อมกับนักกีฬาอีกคนที่แชร์ตำแหน่งอันดับที่ 48 ด้วยกันก้วยรายได้ถึง 34 ล้านเหรียญ อีกทั้งเม็ดเงินของ Paul ตรงนั้นยังสามารถช่วยให้เขาแซงดาวกีฬาชื่อดังอย่าง Phil Mickelson (41 ล้านเหรียญ) และ Novak Djokovic (34.5 ล้านเหรียญ) ได้อีกด้วย
นี่เปรียบเสมือนการกลับตัวครั้งใหญ่ของ Paul ที่พึ่งจะอายุ 25 หมาดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อต้นปี 2018 ทาง YouTube ได้ระงับจ่ายค่าตอบแทนช่องของเขาเมื่อวิดีโอที่ถ่ายทำใน “ป่าฆ่าตัวตาย” ของ Logan พี่ชายของเขาได้รับกระแสตอบรับแย่สุดๆ และเมื่อไม่ได้มีรายได้จากโฆษณาที่เล่นระหว่างวิดีโอของเขา บวกกับแบรนด์ต่างๆ ก็พากันเทกระจาด Paul เองรู้สึกกับเหมือนตายทั้งเป็นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ช่องของเขากลับมามีรายได้จากโฆษณาอีกครั้ง และปัจจุบันมีผู้ติดตามถึง 20.4 ล้านคน แต่เขาเองก็ยังคงมีเรื่องกับทางศาลอยู่บ้าง เมื่อเดือนสิงหาคม 2020 FBI ได้บุกบ้านของเขาหลังจากมีวิดีโอเผยให้เห็น Paul ทำลายทรัพย์สินระหว่างจลาจล (เขาไม่โดนปรับหรืออะไรทั้งนั้น) และหนึ่งในคอมเมนต์ยั่วโมโหมากมายที่หลุดออกมาจากปากชายคนนี้มาหลายต่อหลายปี สิ่งที่ทำให้คนโมโหที่สุดคงเป็นสิ่งที่เขาพูดเมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยเขาบอกว่าโควิด-19 เป็น “สิ่งหลอกหลวง” ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Daily Beast แต่ที่เลวร้ายที่สุดคงหนีไม่พ้นข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศจากดาว TikTok Justine Paradise ทาง Paul เองก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่ไม่มีอะไรสามารถมาขัดขวางอาชีพนักมวยที่กำลังเติบโตของเขาได้
Paul เข้าสู่ปี 2021 พร้อมกับชัยชนะ 2 ยกอยู่ในมือ ยกแรกคือเมื่อปี 2020 ที่เขาลงแข่งกับกับยูทูบเบอร์อย่าง AnEsonGib และอดีตนักกีฬา NBA สูง 5 ฟุต 9 Nate Robinson โดยคิวการคู่ต่อสู้ของหนุ่มสูง 6 ฟุต 1 หนัก 190 ปอนด์ ผู้อยากท้าทายร่างกายตัวเองก็โหดขึ้นเรื่อยๆ ด้วย โดยเมื่อเดือนเมษายน เขาไดเอาชนะ Ben Askren อดีตนักสู้ MMA ได้สำเร็จ และยังสามารถชนะ Tyron Woodley แห่ง UFC ได้เมื่อเดือนสิงหาคมอีกด้วย
ในเดือนธันวาคม เมื่อนักมวย Tommy Fury ถอนตัวจากการแข่งขันเนื่องจากอาการติดเชื้อบริเวณอกและบาดเจ็บบริเวณซี่โครง Paul ก็ประชนหน้ากับ Woodley อีกครั้งและในครั้งนี้ก็ชนะไปใสๆ อีกรอบ
แต่การขึ้นชกครั้งล่าสุดถือว่าผิดหวังในแง่ของรายได้ โดยมีรายงานว่ามียอดขาย pay-per-view ผ่านทางเคเบิลและช่องโทรทัศน์ดาวเทียมเพียง 65,000 ครั้งเท่านั้น (Paul โต้กลับตัวเลขนั้น โดยกล่าวเทียบว่ายกที่แล้วเขามียอดขาย pay-per-view ถึง 500,000 ครั้งด้วยกัน)
ถึงแม้จะอย่างนั้นก็เถอะ แม้ว่าเขาจะพบว่ามันยากที่จะคงอัตราเดิมในการขึ้นชกครั้งต่อไป เขาก็ยังมีช่องทางสร้างรายได้อื่นๆ ที่เขาพึ่งพาได้ ไม่ว่าจะเป็นการขาย NFTs และสินค้าต่างๆ ผ่านหน้าร้านออนไลน์ของเขาเอง และดีลโปรโมตสินค้าระยะสั้นกับแบรนด์ต่างๆ เมื่อปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น BoohooMan และ DraftKings เป็นต้น
นอกจากนี้เขายังมีบริษัทจัดการแข่งขันชกมวยเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อ Most Valuable Promotions อีกด้วย และแน่นอนว่าเขาก็ยังคงมีช่อง YouTube ของเขาอยู่ โดย ณ ตอนนี้ เขาก็ได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นดาวเด่นประจำแพลตฟอร์มได้อีกครั้ง และวิดีโอส่วนมากบนช่องของเขาตอนนี้จะเน้นไปที่เรื่องการชกมวยที่เขาชื่นชอบเป็นส่วนใหญ่
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Pivoting From YouTube To Boxing, Jake Paul Earned $40 Million In The Ring In 2021 เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: 10 อันดับ “ยูทูบเบอร์” รายได้สูงสุดในโลก ประจำปี 2021
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine