หากไม่มีนวัตกรรมระบบนำส่งของ Ian MacLachlan แล้ว Moderna และ Pfizer คงไม่สามารถพาวัคซีน mRNA เข้าสู่เซลล์ร่างกายได้โดยปลอดภัย แต่เหตุใดจึงแทบไม่มีใครรู้จักผลงานของนักชีวเคมีชาวแคนาดาผู้นี้ หรือจ่ายค่าสิทธิให้เขาแม้สักนิด
ฤดูร้อนปี 2020 ขณะที่โรคโควิด-19 กำลังระบาดอย่างรุนแรง มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกวันละกว่า 200,000 คน Albert Bourla ซีอีโอแห่ง Pfizer และ Uğur Şahin ของ BioNTech ขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมุ่งหน้าสู่ Klosterneuburg เมืองบนเนินเขาในย่านชนบทของออสเตรีย จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือ Polymun Scientific Immunbiologische Forschung โรงงานเล็กๆแห่งหนึ่งบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดานูบ
Bourla และ Şahin มีภารกิจสำคัญคือ จัดการให้บริษัทแห่งนี้ผลิตอนุภาคนาโนไขมัน (lipid nanoparticle) ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อนำมาพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งกำลังจะได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ เป็นกรณีด่วนพิเศษ
วัคซีนของ Pfizer-BioNTech พัฒนาขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยี messenger RNA ซึ่งจะสอนให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายรู้จักต่อสู้กับไวรัสโคโรนา แต่ในการเดินทางเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้อย่างปลอดภัยนั้น mRNA จะต้องห่อหุ้มด้วยชิ้นส่วนไขมันเล็กๆ ที่มีชื่อเรียกว่า lipid
โรงงานในประเทศออสเตรียแห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่แห่งในโลกที่สามารถผลิตอนุภาคนาโนไขมันได้อย่างที่ต้องการ และ Bourla ก็ยืนกรานให้ Şahin เดินทางไปด้วยกันเพื่อผลักดันเรื่องนี้ด้วยตนเอง
“แพลตฟอร์ม mRNA ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของการสร้างโมเลกุล mRNA เพราะว่ามันทำได้ง่ายมาก” Bourla กล่าว “แต่ประเด็นอยู่ที่การพาโมเลกุล mRNA เข้าสู่เซลล์เพื่อให้คำแนะนำแก่ร่างกาย”
ทว่ากลับไม่มีใครบอกได้ว่า Moderna, BioNTech และ Pfizer สร้างระบบนำส่ง (delivery system) ที่สำคัญยิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร เรื่องราวการผจญภัยอันซับซ้อนมีทั้งการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานานถึง 15 ปีการกล่าวหาว่าทรยศและการหลอกลวง
แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เมื่อมนุษย์ต้องการหาวิธีนำ mRNA เข้าสู่เซลล์ร่างกาย วิธีที่เชื่อถือได้มีเพียงหนึ่งเดียวและไม่ได้สร้างขึ้นโดย Pfizer, Moderna, BioNTech หรือบริษัทวัคซีนยักษ์ใหญ่แต่อย่างใด
Ian MacLachlan ชายผู้ถูกลืม
จากการตรวจสอบเป็นเวลาหลายเดือน Forbes ได้พบว่า นักวิทยาศาสตร์ที่มีส่วนในการพัฒนาวิธีนำส่งอันสำคัญนี้มากที่สุด กลับเป็นนักชีวเคมีชาวแคนาดาวัย 57 ปีที่น้อยคนนักจะรู้จัก เขาคือ Ian MacLachlan เป็นหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ให้กับบริษัทเล็กๆ 2 แห่งคือ Protiva Biotherapeutics และ Tekmira Pharmaceuticals นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าคณะพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญดังกล่าว
แต่จนถึงวันนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น (และไม่มีบริษัทยารายใหญ่รายใดเลย) ที่จะกล่าวถึงผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขาอย่างเปิดเผย และ MacLachlan ก็ไม่ได้อะไรจากเทคโนโลยีที่เขาบุกเบิกขึ้นมาด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“ผมคงไม่ใช้เวลาที่เหลือของผมวุ่นวายอยู่กับเรื่องนี้ แต่ก็หนีไม่พ้นจริงๆ” MacLachlan กล่าว “เวลาผมเปิดอินเทอร์เน็ตดูข่าวตอนเช้า ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องของวัคซีน มันมีอยู่ทุกที่ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าวัคซีนเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้น”
อย่างไรก็ตาม Moderna Therapeutics คัดค้านอย่างดุเดือดเกี่ยวกับแนวคิดที่ว่า วัคซีน mRNA ของพวกเขาใช้ระบบนำส่งของ MacLachlan ขณะที่ BioNTech ผู้ผลิตวัคซีนที่จับมือเป็นพันธมิตรกับ Pfizer เลือกที่จะพูดถึงประเด็นดังกล่าวอย่างระมัดระวังกระบวนการทางกฎหมายยังคงดำเนินต่อไปโดยมีเงินก้อนมหึมาเป็นเดิมพัน
Moderna, BioNTech และ Pfizer กำลังขายวัคซีนได้ 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีนี้ แต่พวกเขาไม่ได้จ่ายเงินให้ MacLachlan สักเหรียญ ขณะที่ผู้ผลิตวัคซีนรายอื่น เช่น Gritstone Oncology ก็เพิ่งจะได้ใบอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีนำส่ง Protiva-Tekmira ของ MacLachlan โดยคิดค่าตอบแทน 5-15% ของยอดขาย
MacLachlan ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเงินในเทคโนโลยีดังกล่าวอีกต่อไป แต่เฉพาะในปีนี้ค่าสิทธิในวัคซีน Moderna และ PfizerBioNTech อาจจะสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 6.75 พันล้านเหรียญ
โชคชะตายังคงเล่นตลกกับ MacLachlan เมื่อประธานาธิบดี Biden เสนอให้ยกเว้นสิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 ทำให้โอกาสที่ทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับผลงานการพัฒนาของ MacLachlan จะกลายเป็นแหล่งรายได้มหาศาลนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
แม้บริษัทหลายแห่งจะปฏิเสธ แต่รายงานทางวิทยาศาสตร์และเอกสารสำคัญที่ยื่นต่อองค์การอาหารและยาแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของ Moderna และ Pfizer-BioNTech ใช้ระบบนำส่งที่มีความคล้ายคลึงกับเทคโนโลยีที่ MacLachlan และทีมงานของเขาสร้างขึ้นมาเป็นอย่างมาก มีการใช้ส่วนประกอบเป็นไขมัน 4 ประเภทที่ผสมสูตรขึ้นอย่างพิถีพิถัน นำมาห่อหุ้ม mRNA ในอนุภาคอย่างหนาแน่นผ่านกระบวนการผสมที่ใช้เอทานอลและอุปกรณ์ข้อต่อรูปตัว T
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา Moderna อ้างว่าพวกเขาใช้ระบบนำส่งของตนเอง แต่เมื่อถึงเวลาที่บริษัทต้องทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในหนูทดลอง พวกเขากลับใช้ไขมัน 4 ประเภทที่ตรงกับเทคโนโลยีของ MacLachlan ในอัตราส่วนเดียวกัน
Moderna ยืนยันว่า สูตรผสมวัคซีนในพรีคลินิกไม่เหมือนกับวัคซีนที่ใช้จริง แต่เอกสารที่ Moderna ยื่นต่อทางการในเวลาต่อมาแสดงให้เห็นว่า พวกเขาใช้ไขมัน 4 ประเภทที่เหมือนกับระบบนำส่งของ MacLachlan แต่มี 1 ประเภทที่เป็นเวอร์ชันของตนเอง และมีการ “ปรับอัตราส่วนเล็กน้อย” โดยยังคงไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด
เรื่องราวของ Pfizer และ BioNTech เป็นไปในทำนองเดียวกัน เอกสารขององค์การอาหารและยาแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของพวกเขาใช้ไขมัน 4 ประเภทที่ตรงกัน และในอัตราส่วนที่เกือบเท่ากับผลงานของ MacLachlan และทีมงานซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าไขมันประเภทหนึ่งจะเป็นรูปแบบใหม่ของพวกเขาเองก็ตาม
กระนั้นก็ดีใช่ว่าทุกคนจะมองข้าม MacLachlan กันไปหมด “เรื่องของ LNP (อนุภาคนาโนไขมัน) ต้องยกเครดิตมากมายให้กับ Ian MacLachlan” Katalin Karikó กล่าว เธอคือนักวิทยาศาสตร์ผู้วางรากฐานให้กับการบำบัดรักษาด้วย mRNA ก่อนที่จะย้ายไปร่วมงานกับ BioNTech ในปี 2013
อย่างไรก็ตาม Karikó ซึ่งเป็นตัวเต็งรางวัลโนเบลอยู่ในเวลานี้ยังคง ไม่พอใจที่ MacLachlan ไม่ได้พยายามที่จะช่วยเหลือเธอมากกว่านี้เพื่อให้เธอได้นำระบบนำส่งของเขาไปใช้สร้างบริษัท mRNA ของเธอเองเมื่อหลายปีก่อน “เขาอาจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก แต่กลับไม่มีวิสัยทัศน์เอาเสียเลย” เธอกล่าว
สงครามนักวิทยาศาสตร์
เมื่อ 7 ปีที่แล้ว MacLachlan ลาออกจากงานที่ Tekmira เขาหันหลังให้กับการค้นพบอันยิ่งใหญ่รวมถึงเงินรางวัลที่มีโอกาสจะได้รับ
ความวุ่นวายจากข้อพิพาททางกฎหมายและการเมืองภายในวงการชีวเภสัชกรรมเรื่องระบบนำส่งเกินกว่าที่เขาจะรับไหว MacLachlan มีความรู้สึกหลายๆ อย่างผสมกัน ด้านหนึ่งเขารู้สึกว่าถูกมองข้าม แต่อีกด้านเขารู้ดีว่าเขามีส่วนช่วยชีวิตคนทั้งโลก
“ยังมีทีมงานที่ทุ่มเทชีวิตให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ พวกเขามอบให้ทั้งใจและจิตวิญญาณ” MacLachlan กล่าว “คนเหล่านี้ทำงานกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย และมอบส่วนที่ดีที่สุดของพวกเขาเพื่อการพัฒนา”
อาคาร Hohentübingen Castle ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาเหนือเมือง Tübingen ในเยอรมนี ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2013 MacLachlan ซึ่ง ณ เวลานั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ Tekmira Pharmaceuticals ลากเท้าเดินไต่เขาขึ้นไปยังปราสาทเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลในงานสัมมนา International mRNA Health Conference ที่ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก
ช่วงค่ำวันนั้นเขาได้พูดคุยกับ Stéphane Bancel ซีอีโอของ Moderna Therapeutics น้องใหม่แห่งแวดวง mRNA ที่ธุรกิจกำลังรุ่งเรือง MacLachlan เสนอว่า Tekmira กับ Moderna ควรจะหันมาจับมือกันและใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีระบบขนส่งยาของเขา “ค่าตัวคุณมันแพงเกินไป” คือคำตอบของ Bancel
ไม่เพียงแต่บทสนทนาอันน่าผิดหวัง แต่ Thomas Madden อดีตเพื่อนร่วมงานของ MacLachlan ยังปรากฏตัวขึ้นในงาน ซึ่ง Madden เคยโดน Tekmira ไล่ออกเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านั้น
นับจนถึงเวลานั้น MacLachlan ใช้เวลากว่าทศวรรษในการพัฒนาระบบนำส่ง แต่คนอย่าง Bancel ก็ยังดูเหมือนจะอยากร่วมงานกับ Madden นักวิทยาศาสตร์จาก London มากกว่า
ความเป็นอริกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ทั้งสองเริ่มต้นจากความขัดแย้งเรื่องเทคโนโลยีนำส่งที่ใช้กับวัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบัน โดย MacLachlan และ Madden รู้จักกันเมื่อ 25 ปีที่แล้ว สมัยที่ทั้งคู่ทำงานอยู่ด้วยกันที่ Inex Pharmaceuticals ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพเล็กๆ ใน Vancouver เมื่อปี 1996
MacLachlan พกพาปริญญาเอกด้านชีวเคมีเข้ามาร่วมงานกับ Inex นับเป็นงานแรกของเขาหลังจากสิ้นสุดโครงการทุนการศึกษาหลังจบปริญญาเอกสาขาห้องปฏิบัติการด้านพันธุกรรมที่ University of Michigan
Inex มีผู้ร่วมก่อตั้งคือ Pieter Cullis หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ซึ่งปัจจุบันอยู่ในวัย 75 ปี เขาเป็นนักฟิสิกส์ผมยาว สอนหนังสืออยู่ที่ University of British Columbia เขาสร้างสรรค์เทคโนโลยีชีวภาพขึ้นมากมาย สร้างชุมชนนักวิทยาศาสตร์ชั้นสูงที่ทำให้ Vancouver กลายเป็นแหล่งลิพิดเคมี (lipid chemistry) ชั้นดี
Inex มียาเคมีบำบัดโมเลกุลเล็กอยู่ 1 ราย เป็นว่าที่ยาที่คาดจะทำได้สำเร็จ แต่ Cullis ยังสนใจเรื่องพันธุกรรมบำบัดด้วย เป้าหมายของเขาคือ การส่งมอบสารพันธุกรรมโมเลกุลใหญ่อย่าง DNA หรือ RNA ภายในฟองไขมันให้เดินทางโดยสวัสดิภาพและสามารถออกฤทธิ์เป็นยาภายในเซลล์ได้ ซึ่งเป็นความฝันของบรรดานักชีวเคมีมาเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครทำได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม Cullis และทีมงานของเขาที่ Inex ใช้วิธีการใหม่ โดยผสมผงซักฟอกเข้ากับของเหลว และสามารถห่อหุ้ม DNA ชิ้นเล็กๆ ไว้ภายในฟองขนาดจิ๋วที่เรียกว่าไลโปโซมได้สำเร็จ แต่โชคร้ายที่ระบบดังกล่าวไม่สามารถนำส่งโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่กว่านั้น (ซึ่งเป็นประเภทที่ต้องใช้ในพันธุกรรมบำบัด) อย่างคงเส้นคงวาและก่อให้เกิดประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ พวกเขาลองวิธีการอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการใช้เอทานอล แต่ก็ไม่เป็นผล
Cullis บอกว่า “ที่ Inex เราลองประกอบชิ้น LNP (อนุภาคนาโนไขมัน) ต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่ไม่สามารถนำไปใช้งาน” เป็นสารพันธุกรรมได้
Inex ทำธุรกิจ ไม่ใช่เป็นห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัย พวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับยาเคมีบำบัดซึ่งมีอนาคตกว่า พร้อมกับยุบฝ่ายพันธุกรรมบำบัดส่วนใหญ่ออกไป MacLachlan เข้ามารับหน้าที่ส่วนที่ยังเหลืออยู่จนกระทั่งในปี 2000 เขาก็ตัดสินใจลาออก
แต่ Cullis ไม่ปล่อยให้ MacLachlan เดินจากไปง่ายๆ เขาชวน MacLachlan ให้เก็บสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับระบบนำส่งพร้อมกับแยกตัวออกไปก่อตั้งบริษัทแห่งใหม่ ดังนั้น Protiva Biotherapeutics จึงถือกำเนิดขึ้นมา โดยมี MacLachlan ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ ขณะที่ Inex ยังคงถือหุ้นส่วนน้อย MacLachlan ดึง Mark Murray มาร่วมงานในฐานะซีอีโอ เขาเป็นผู้บริหารชาวอเมริกันในสายงานเทคโนโลยีชีวภาพมาเป็นเวลานาน จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านชีวเคมี ปัจจุบันอายุ 73 ปี
การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่
ไม่นานนักนักเคมีประจำ Protiva 2 คนคือ Lorne Palmer และ Lloyd Jeffs ทำการค้นพบครั้งสำคัญอันนำมาสู่วิธีการผสมสูตรใหม่ โดยนำไขมันไปละลายในเอทานอลในเครื่องมือข้อต่อรูปตัว T ด้านหนึ่ง ส่วนด้านตรงข้ามเป็นสารพันธุกรรมละลายในน้ำเกลือ จากนั้นจึงยิงสารละลายทั้งสองตัวเข้าหากันนี้คือช่วงเวลาที่พวกเขาเฝ้ารอ การชนกันทำให้ไขมันก่อตัวเป็นอนุภาคนาโนที่มีความหนาแน่นและสามารถห่อหุ้มสารพันธุกรรมได้ในทันที เป็นวิธีการที่ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อและได้ผลเสียด้วย
“ก่อนหน้านี้เราใช้มาแล้วหลายวิธี แต่ผลลัพธ์ที่ได้มีความแปรผันสูงมากและไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เหมาะสำหรับทำการผลิตอย่างสิ้นเชิง” MacLachlan กล่าว
ทีมงานโดยการนำของ MacLachlan เดินหน้าอย่างรวดเร็วสู่การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันตัวใหม่ที่สร้างขึ้นจากไขมันเฉพาะ 4 ชนิด แม้ว่าจะเป็นไขมันในกลุ่มที่ Inex เคยใช้ในการทดลองมาแล้ว แต่ LNP ของ MacLachlan มีแกนกลางที่หนาแน่นแตกต่างจากฟองไลโปโซมคล้ายกับถุงน้ำที่ Inex พัฒนาขึ้นอย่างมาก
ทีมงานของ MacLachlan ยังค้นพบอัตราส่วนเฉพาะเพื่อให้ไขมันทั้ง 4 ประเภททำงานประสานกันได้ดีที่สุด ซึ่งทั้งหมดได้รับการจดสิทธิบัตรไปแล้วตามระเบียบ
วัคซีนโควิดของ Moderna และ Pfizer ใช้พันธุกรรมบำบัดประเภทที่ต้องอาศัยโมเลกุล messenger RNA แต่ในตอนแรกนักวิทยาศาสตร์ของ Protiva หันไปให้ความสำคัญกับพันธุกรรมบำบัดอีกประเภทหนึ่งที่ใช้กระบวนการ RNA interference (หรือ RNAi) ในขณะที่ mRNA จะสอนให้ร่างกายรู้จักการสร้างโปรตีนเพื่อการรักษา แต่ RNAi มีเป้าหมายที่จะยับยั้งยีนตัวไม่ดีก่อนที่จะก่อให้เกิดโรค
ด้าน Protiva ซึ่งในเวลานี้มีระบบนำส่งของ MacLachlan อยู่ในมือ หันไปร่วมงานกับ Alnylam บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจาก Cambridge ใน Massachusetts ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำให้การบำบัดด้วย RNAi ได้ผล
ขณะเดียวกัน Inex บริษัทเก่าของ MacLachlan กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากที่องค์การอาหารและยาปฏิเสธที่จะเร่งอนุมัติยาสำหรับเคมีบำบัด
Inex ไล่พนักงานออกเกือบทั้งหมด ก่อนจะหันกลับมาให้ความสำคัญกับระบบนำส่งยาอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งจะแยกบริษัท Protiva ออกไปเพียงไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น Inex หันมาเป็นพันธมิตรกับ Alnylam ด้วยเช่นกัน ในปี 2005 Cullis ตัดสินใจลาออก จึงเหลือเพียง Thomas Madden คู่แข่งของ MacLachlan รับหน้าที่ดูแลการพัฒนาระบบนำส่งของ Inex
ในปี 2006 Protiva กับ Alnylam เผยแพร่ผลงานการวิจัยชิ้นสำคัญใน Nature ซึ่งแสดงให้เห็นวิธียับยั้งยีนอย่างได้ผลเป็นครั้งแรกระหว่างการทดลองในลิง การวิจัยดังกล่าวใช้ระบบนำส่งที่ทีมงานของ MacLachlan พัฒนาขึ้น
Alnylam เดินหน้าสู่การพัฒนา Onpattro ซึ่งเป็นยา RNAi ใช้รักษาความเสียหายของระบบประสาทในผู้ใหญ่ที่มีภาวะทางพันธุกรรม ต่อมายาดังกล่าวกลายเป็นยา RNAi แรกที่องค์การอาหารและยาให้การรับรอง
ขโมยในคราบนักวิทยาศาสตร์
จากข้อมูลที่ต้องนำส่งตามกำหนดแสดงให้เห็นว่า Alnylam นำระบบนำส่งของ MacLachlan มาใช้กับยา Onpattro แต่มีข้อยกเว้น 1 ประการด้วยกันคือ ไขมัน 1 ใน 4 ประเภทนั้น Alnylam ใช้เวอร์ชันที่มีการดัดแปลง ซึ่งได้มาจากการพัฒนาร่วมกับ Thomas Madden นั่นเอง
เดือนตุลาคม ปี 2008 Mark Murray ซีอีโอที่ MacLachlan คว้าตัวมารับหน้าที่บริหาร Protiva ยืนอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่ Tekmira Pharmaceuticals บริษัทมหาชนขนาดเล็กที่เขาเพิ่งเข้าซื้อกิจการแต่ไม่ได้ดำเนินกิจการอะไร Tekmira จัดตั้งขึ้นโดย Inex เช่นเดียวกับ Protiva โดย 1 ปีก่อนหน้านั้น
Inex ตัดสินใจยุติความพยายาม หลังจากที่พวกเขาโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่เหลืออยู่ไปให้กับ Tekmira ก่อนที่ Murray จะย้ายมาร่วมงานนั้น อดีตนักวิทยาศาสตร์ 15 รายของ Inex รวมกลุ่มกันอยู่แล้ว ซึ่งก็รวมถึง Thomas Madden ด้วย
“โชคร้ายที่พวกคุณไม่ได้ไปต่อ” Murray บอกกับพวกเขา
การไล่ Madden เป็นผลลัพธ์ประการหนึ่งจากกรณีพิพาททางกฎหมายครั้งใหญ่ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ทั้ง Inex และ Protiva ต่างแยกย้ายกันไปทำงานร่วมกับ Alnylam ในเรื่องของการพัฒนาระบบขนส่ง ข้อพิพาทในครั้งนี้ยืดเยื้อนานหลายปี และทุกครั้ง Murray กับ MacLachlan ก็จะกล่าวหาว่า Madden กับ Cullis ขโมยไอเดียของพวกเขาไปอย่างไม่ถูกต้อง ด้าน Cullis กับ Madden รู้สึกไม่พอใจและปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ บางครั้งถึงกับฟ้องกลับ โดยกล่าวหาว่า Murray กับ MacLachlan กระทำการไม่เหมาะไม่ควร
การดำเนินคดียกแรกจบลงด้วยการทำข้อตกลงร่วมกันในปี 2008 ส่งผลให้ Protiva ได้เข้าควบคุมกิจการ Tekmira โดยมี Murray ดำรงตำแหน่งซีอีโอ ขณะที่ MacLachlan เป็นหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ ส่วน Madden ก็โดนไล่ออกหลังจากนั้นไม่นาน
แม้ว่า Madden และ Cullis จะอยู่ในสภาพบอบช้ำ แต่พวกเขาก็สามารถก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นในปี 2009 เพื่อทำงานร่วมกับ Alnylam ต่อไป Tekmira ตอบโต้ด้วยการฟ้อง Alnylam โดยอ้างว่า บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจาก Massachusetts แห่งนี้สมรู้ร่วมคิดกับ Madden และ Cullis เพื่อจะได้จ่ายเงินราคาถูกในการคว้าสิทธิเป็นเจ้าของระบบนำส่งที่ MacLachlan พัฒนาขึ้น
ด้าน Alnylam โต้ว่า พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และแน่นอนว่าพวกเขายื่นฟ้องแย้งโดยยืนยันว่า เพียงต้องการร่วมงานกับ Madden และ Cullis (ผู้สร้างเวอร์ชันใหม่ให้กับไขมันในระบบนำส่ง 1 จาก 4 ประเภท) เท่านั้น
ข้อพิพาทครั้งนี้ยุติลงในปี 2012 โดย Alnylam ยอมจ่ายเงินให้กับ Tekmira 65 ล้านเหรียญ และตกลงที่จะโอนสิทธิบัตรนับสิบรายการคืนให้แก่ Tekmira ซึ่งรวมถึงไขมันที่มีการปรับปรุงใหม่ที่ Madden พัฒนาขึ้นสำหรับใช้กับยา Onpattro ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว บริษัทใหม่ของ Cullis และ Madden ได้รับใบอนุญาตแต่ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ ในการนำระบบนำส่งของ MacLachlan ไปใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ mRNA ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง
ท่ามกลางการต่อสู้ทางกฎหมายอันดุเดือด Katalin Karikó นักชีวเคมีชาวฮังการีปรากฏตัวขึ้นหน้าบ้านของ MacLachlan เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ระบบนำส่งของ MacLachlan เป็นระบบสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของการบำบัดด้วย mRNA เธอเริ่มทำหนังสือถึง MacLachlan ตั้งแต่ปี 2006 เพื่อขอให้เขานำระบบนำส่งที่ใช้ไขมัน 4 ประเภทมาห่อหุ้ม mRNA ที่เธอเป็นผู้ค้นพบจากการดัดแปลงทางเคมีได้สำเร็จ แต่ MacLachlan กำลังวุ่นวายอยู่กับกระบวนการทางกฎหมาย เขาจึงบอกปัดข้อเสนอของเธอ
Karikó ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ในปี 2013 เธอเดินทางไปพบกับผู้บริหารของ Tekmira พร้อมกับเสนอตัวย้ายมาทำงานที่ Vancouver และอยู่ใต้บังคับบัญชาของ MacLachlan แต่ Tekmira ปฏิเสธ “ทั้ง Moderna, BioNTech และ CureVac ต่างก็อยากได้ตัวฉันไปร่วมงานด้วย แต่ Tekmira ตัวเลือกอันดับ 1 ของฉันกลับไม่ต้องการ” Karikó กล่าว ในที่สุดเธอก็รับงานที่ BioNTech เมื่อปี 2013
เวลานั้น Stéphane Bancel ซีอีโอของ Moderna พยายามไขปริศนาระบบนำส่งอยู่เช่นกัน เขาหารือกับ Tekmira เกี่ยวกับโอกาสที่จะร่วมงานกัน แต่การเจรจาหยุดชะงักลง เพราะครั้งหนึ่ง Tekmira กล่าวถึงค่าตอบแทน 100 ล้านเหรียญและให้จ่ายล่วงหน้า บวกกับค่าสิทธิ พวกเขาถึงจะยอมทำสัญญา
Moderna จึงหันไปเป็นพันธมิตรกับ Madden ซึ่งยังคงร่วมงานอยู่กับ Cullis ที่ Acuitas Therapeutics บริษัทด้านระบบนำส่งยาของพวกเขานั่นเอง
การวางมือของ Ian MacLachlan
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 เมื่อ MacLachlan อายุได้ 50 ปี Karley Seabrook คู่ชีวิตของเขาหลอกล่อพาเขาไปยังโรงละคร Imperial Vancouver ที่ครอบครัวและเพื่อนๆ รออยู่เต็มโรงละคร เธอนำชุดแต่งงานออกมาเซอร์ไพรส์ ขณะที่ลูกๆ ทั้ง 2 คนทักทาย MacLachlan ด้วยการ์ดเขียนคำว่า WILL YOU MARRY MOMMY? (จะแต่งงานกับคุณแม่ไหม) Seabrook ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะต้องแต่งงาน แต่โรคมะเร็งเปลี่ยนความคิดของเธอ เช่นเดียวกับที่งานแต่งงานเปลี่ยนความคิดของเขา
สำหรับนักวิทยาศาสตร์บ้างานอย่างเขา การต้องรับมือกับทนายความคนแล้วคนเล่า รวมถึงกลยุทธ์ของบริษัทส่งผลกระทบไม่น้อย MacLachlan หมดความอดทนและลาออกจาก Tekmira ในปี 2014 เขาขายหุ้นของตัวเองในบริษัท พร้อมกับซื้อรถ Winnebago Adventurer มือสองในราคา 60,000 เหรียญ เขากับภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันมาหมาดๆ ลูกทั้ง 2 คน และสุนัขของครอบครัวขับรถเดินทางเป็นระยะทาง 5,200 ไมล์ทั่วประเทศแคนาดา
“ผมรู้สึกท้อแท้และหมดแรง” MacLachlan กล่าว
หลังจากที่ MacLachlan ลาออกไป ซีอีโอ Murray ก็เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Tekmira เป็น Arbutus BioPharma และตัดสินใจว่า บริษัทของเขาจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวทางการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีร่วมกับ Roivant Sciences บริษัทผู้พัฒนายาใน New York แต่สิทธิบัตรต่างๆ ในระบบนำส่งยาที่ประกอบไปด้วยไขมัน 4 ประเภทยังคงเป็นของเขา
ต่อมา Acuitas บริษัทของ Madden ได้ให้อนุญาตช่วงแก่ Moderna ในการใช้เทคโนโลยีนำส่งสำหรับการพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่จาก mRNA ซึ่ง Murray มั่นใจเหลือเกินว่า Madden ไม่มีสิทธิทำอย่างนั้น
ในปี 2016 เขาจึงทำหนังสือแจ้งความประสงค์ที่จะบอกเลิกสัญญาใบอนุญาตของ Acuitas 2 เดือนต่อมา Acuitas ยื่นฟ้องตามธรรมเนียมที่ Vancouver โดยปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ทำผิดสัญญาใดๆ ซึ่งแน่นอนว่า Murray ฟ้องกลับตามระเบียบ จนกลายเป็นกรณีพิพาททางกฎหมายรอบใหม่ แต่ที่สำคัญคือ การดำเนินการทางกฎหมายรอบนี้เกี่ยวข้องกับ mRNA โดยตรง
หลังรบรากันต่ออีกเป็นเวลา 2 ปี ทั้งสองฝ่ายก็ยุติข้อพิพาท โดย Murray ยกเลิกใบอนุญาตของ Thomas Madden เพื่อไม่ให้เขาสามารถนำเทคโนโลยีนำส่งของ MacLachlan ไปใช้กับยาอื่นๆ ได้ในอนาคต ยกเว้นผลิตภัณฑ์ 4 รายการที่ Moderna เริ่มพัฒนาไปแล้ว (ฝั่ง Murray เองก็เสียสิทธิในการใช้เทคโนโลยีบางอย่างของ Madden เช่นกัน) ต่อมา Murray กับ Roivant ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งคือ Genevant Sciences เพื่อเป็นแหล่งรักษาทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับระบบนำส่งที่ใช้ไขมัน 4 ประเภทดังกล่าวโดยเฉพาะพร้อมดำเนินการให้เป็นธุรกิจไม่นานนักก็มีบริษัทเสนอตัวร่วมงานด้วย
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน Şahin ซีอีโอของ BioNTech ทำสัญญากับ Genevant เพื่อนำระบบนำส่งมาใช้ในโครงการรักษาโรคมะเร็งด้วย mRNA ของ BioNTech ที่มีอยู่ 5 โครงการด้วยกัน นอกจากนี้ บริษัททั้งสองแห่งยังตกลงทำงานร่วมกันในโครงการ mRNA อื่นๆ อีก 5 โครงการที่ให้ความสำคัญกับโรคหายาก แต่ไม่มีข้อความใดในสัญญาที่พูดถึงการใช้เทคโนโลยีนำส่งกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง เช่น โควิด-19
ขณะเดียวกัน Moderna เลือกดำเนินกลยุทธ์ที่ต่างออกไป พวกเขายื่นคำฟ้องต่อสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐฯ (U.S. Patent and Trademark Office) เพื่อขอให้สิทธิบัตรต่างๆ เกี่ยวกับระบบนำส่งของ MacLachlan ที่ตกมาอยู่ในความควบคุมของ Genevant ในเวลานั้นเป็นโมฆะ แต่ในเดือนกรกฎาคมปี 2020 ขณะที่ Moderna กำลังผลักดันวัคซีนเข้าสู่ขั้นตอนของการทดลองทางคลินิกนั้น คณะกรรมการพิจารณามีคำวินิจฉัยสนับสนุนกับข้อเรียกร้องในสิทธิบัตรที่มีความสำคัญมากที่สุด (Moderna อยู่ระหว่างการอุทธรณ์)
เหมือน แต่แตกต่าง
หลังจากที่วัคซีนของ Moderna และ Pfizer-BioNTech ผ่านการรับรองแล้ว Drew Weissman นักวิจัย mRNA ชื่อดังแห่ง University of Pennsylvania กล่าว