Milk & Honey Labs พา Pablo Picasso เข้าสู่โลก NFT - Forbes Thailand

Milk & Honey Labs พา Pablo Picasso เข้าสู่โลก NFT

FORBES THAILAND / ADMIN
28 Jan 2022 | 06:07 PM
READ 2885

ด้วยความทะเยอทะยานอันแรงกล้า การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่ และการขยายตัวของบริษัทบริหารงานด้านดนตรี ในที่สุด Pablo Picasso ก็ได้เข้ามาละเลงแคนวาสในโลกบล็อกเชน

งานศิลปะดั้งเดิมจากศิลปินชื่อดัง Pablo Picasso ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1958 ที่สาธารณะชนไม่เคยได้เห็นมาก่อน อย่างชามเซรามิคขนาดใหญ่ที่อยู่ในคอลเล็กชั่นส่วนตัวของ Marina Picasso หลานสาวของศิลปินชื่อดังและ Florian Picasso ใบนี้ คือแรงบันดาลใจในการสร้างงานศิลปะดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร ทั้ง 1,010 ชิ้นที่จะถูกวางขายในวันศุกร์ที่ 28 มกราคมนี้ตามเวลาท้องถิ่น

ชุดงานศิลปะ NFTs “Visage de Couleur”5 ชุด มีจำนวนชุดละ 200 ชิ้นเท่านั้น มาพร้อมกับสีแนว contemporary ที่จะมาทำให้งานดีไซน์ใบหน้าปิติดั้งเดิมโดดเด่นกว่าเคย โดยแต่ละชุดจะถูกนำขึ้นประมูลในราคา 2Ethereum (มูลค่าราว ๆ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ณ เวลาปัจจุบัน) ผ่าน Manandthebeat.com ตลาดออนไลน์ที่ครอบครัว Picasso เป็นเจ้าของที่มีแพลตฟอร์มใหม่จาก Origin Protocol อย่าง Origin Story อยู่เบื้องหลัง

ขณะที่ ซี่รี่ส์งาน NFTs “Visage de Lumiere” ทั้ง 10 ชิ้นจะะมาพร้อมสีสันจากงานชิ้นดั้งเดิมจะปล่อยลงประมูลบน Nifty Gateway โดยจะเปิดประมูล 24 ชั่วโมง และผู้ที่ชนะการประมูลก็จะได้รับไปครอบครอง 

Marina Picasso และ Florian Picasso ลูกชายของเธอกับงานศิลปะเซรามิคของ Pablo Picasso (Photo Credits: AP Photo/Boris Heger)

เงินส่วนหนึ่งจากรายได้ตรงนี้จะถูกนำไปบริจาคให้กับองค์กร Nurse Heroes และ Carbon180 องค์กร NGO ด้านภูมิอากาศ

เมื่อถูกนำขึ้นสู่ระบบบล็อกเชนแล้ว งาน NFTs ไม่สามารถผลิตขึ้นมาซ้ำได้ อีกทั้งแต่ละโทเคนต่างก็จะมีสัญลักษณ์รหัสลับที่ไม่เหมือนใคร

ส่วนงานศิลปะตัวจริงจะถูกวางขายโดยบริษัทจัดประมูลชั้นนำของโลกในต้นเดือนมีนาคมพร้อมกับงาน NFT ที่มาจากดีไซน์ที่ประดับดาอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของชามเซรามิค (โดยปกติแล้ว Pablo Picasso จะไม่วาดอะไรที่ด้านหลัง)

นอกจากนี้ งาน NFTs ทั้งหมดยังมาพร้อมกับเพลงที่ John Legend, แรปเปอร์ Nas และ Florian Picasso ดาวเด่นแห่งวงการดีเจและดนตรีสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อโปรเจ็กต์นี้โดยเฉพาะ ภายใต้ชื่อ Tomorrow ซึ่งเพลงนี้จะมีให้ฟังตามบริการสตรีมมิ่งต่างๆ กันในวันที่ 4 กุมภาพันธ์

งาน Picasso นี้เป็นงานแรกจาก Milk & Honey Labs (MHL) แผนกใหม่ใน Milk & Honey บริษัทบริหารงานด้านดนตรีและกีฬาที่โตเร็วแซงโค้ง บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2014 โดย Lucas Keller และเป็นบริษัทตัวแทนของเหล่าหัวครีเอทีฟเบื้องหลังเพลงดังของ Dua Lipa, Justin Bieber, Doja Cat, Drake และอีกมากมาย

เรื่องราวที่มาของบริษัทแห่งนี้ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไม MHL วางแผนจะโลดแล่นในตลาด NFT โดยการรังสรรค์โปรเจ็กต์ต่างๆ และเชื่อมโยงช่างทั้งหลายไว้ด้วยกันเช่นเดียวกับที่พวกเขาเชื่อมโยงโปรดิวเซอร์, นักแต่งเพลง, ดีเจ และศิลปินเข้าด้วยกันเพื่อมาสร้างเพลงฮิตสักเพลง

ที่มาของโปรเจ็กต์

วันหนึ่ง Alex Harrow หัวหน้าและผู้ร่วมก่อตั้ง MHL และ Cyril Noterman ผู้จัดการของ Florian Picasso จู่ๆ ก็ผุดไอเดียนี้ขึ้นมาได้ระหว่างคุยโทรศัพท์ โดย Harrow ก็เริ่มจัดการดีลนี้ ด้วยการจับมือกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น David Brady ประธานแห่ง Spin Artists; Nicholas Guarino จาก ArtRedefined; Eric Galen จาก Greenspoon Marder และ Stuart Price ผู้อยู่เบื้องหลังเพลงฮิต Levitating ของสาว Dua Lipa ที่จะมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ Tomorrow ด้วย

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาร่วมปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้มาช่างคุ้มค่าเหลือเกิน

ไม่ใช่เพียงแค่เราได้เป็นพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์ NFT และผู้อำนวยการบริหารการผลิตของคอลเล็กชั่นนี้ให้กับพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังเตรียมชิ้นงานจากคอลเล็กชั่นของ Picasso ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนไว้อีกด้วย Harrow กล่าวและเราเองยังได้สร้างความเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับตลาดซื้อขาย NFT ผู้เล่นคนสำคัญ บริบทโดยรวม เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้เดินหน้าสร้างความเข้าใจในช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่เหล่านี้ได้จริงๆ

Alex Harrow แห่ง Milk & Honey Labs (Photo Credits: Andrew Walker)

มีผู้จัดการเพลงจำนวนมากเลยที่ปล่อย NFTs ออกมา แล้วเราก็ได้เห็นความล้มเหลวไม่เป็นท่าอยู่ บางทีเป็นความล้มเหลวของศิลปินชื่อดังซะด้วย Keller กล่าวเสริม สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในปีที่แล้วคือ มันต้องทุ่มเท ต้องคิดให้หนัก ถึงจะประสบความสำเร็จ ท้ังตัวคอมมูนิตี้ ผู้ซื้อคนสำคัญ และกลยุทธ์มากมายที่ต้องคำนึงถึงในการเปิดตัวสิ่งเหล่านี้

Harrow ชี้ว่าเสียงเพลงจะเป็นถูกวางให้เป็นส่วนสำคัญของโปรเจ็กต์นี้มาโดยตลอด โดยเขากล่าวว่า Legend ให้ผ่านโดยทันทีและ Nas หนึ่งในผู้คลั่งใคล้ในคริปโตที่สุดในวงการเพลงและเมื่อต้นเดือนนี้พึ่งประกาศไปว่าจะให้แฟนๆ สามารถลงทุนในเพลงของเขาได้ผ่านการซื้อหุ้นในค่าสิขสิทธิ์เพลงของเขาได้สองเพลงก็ถูกดึงตัวให้มาร่วมงานตั้งแต่แรกๆ ด้วยเช่นกัน

"เหมือนกันกับที่ทั่วโลกได้เห็นพระอาทิตย์ก่อนที่วันหนึ่งจะหมดไป การทำเพลงนี้ก็เช่นกัน Price กล่าว “John ได้แรงบันดาลใจที่จะเขียนท่อนหลักและทำนองของเพลงนี้ขึ้นมา ตอนที่นั่งมองไปยังรูป Picasso ที่ Florian นำมาให้ดูที่ LA หลังจากนั้น เพลงนี้ก็ถูกส่งไปที่ New York และจังหวะทุกอย่างก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แล้วก็ถูกส่งต่อไปยัง London เพื่อให้ฝั่งนั้นดูว่าเป็นอย่างไร ก่อนที่สุดท้ายจะกลับมา LA อีกครั้งเพื่อมาเรียงร้อย และ Nas ก็มาเติมเต็มบางท่อนที่ขาดไป

เพลงชิ้นนี้จะเป็นตัวเปิดงานจากโปรเจ็กต์ของ Florian Picasso โดย Price เผยว่า “เราจะเห็นเขาร่วมงานกับศิลปินหลากหลายแนวในการแสดงออกด้วยเสียงเพลงและศิลปะที่ร้อยเรียงกันเหมือนเป็นหนึ่งเดียว

การปล่อย NFT ครั้งต่อไปของ Milk & Honey Labs คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม และอาจจะเป็นชุดงานของ Picasso อีกหรือไม่ก็ได้ ซึ่งทาง Harrow เองก็ได้กล่าวไว้ว่าจะมีอีกมากมายที่เราจะได้เห็น

บริษัทก็กำลังทำโปรเจ็กต์มากมายกับเหล่านักร้อง คนวงการบันเทิง อินฟลูเอนเซอร์ นักออกแบบกราฟิค แบรนด์ และ IP ในพื้นที่ตรงนี้อีกด้วยเราจะเดินหน้าสร้างสิ่งต่างๆ บน metaverse, Web 3.0 และ NFT ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการขายโทเคนงานศิลปะใดๆ ทั้งนั้น และเราก็จะเดินหน้าทำโปรเจ็กต์เกมบนบล็อกเชนด้วย Harrow กล่าว

Keller ยังเผยข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่าสิ่งที่ผมกำลังวิ่งตามอยู่หลังจากจบโปรเจ็กต์ Picasso คือเพลงของศิลปินดังทั้งหลายที่ไม่ได้ปล่อยออกมาที่เราสามารถจับคู่กับงานศิลป์ได้ ผมคิดถึงมูลค่ามหาศาล มันมีทั้งสินทรัพย์ ทั้งต้องทำงานกับค่ายเพลง และไหนยังต้องแบ่งปันกับค่ายเพลงทั้งหลายอีก

ในขณะที่ศิลปินและผู้จัดการบางคนรีบวิ่งเข้าสู่ตลาดคริปโตเพราะพวกเขาไม่ต้องแบ่งเงินที่ได้มากับค่ายเพลงหรือสำนักพิมพ์แต่ Keller กล่าวว่า MHL จะมีหลักการที่ต่างจากคนอื่นๆ 

เราอยากจะนั่งอยู่ที่โต๊ะที่ดีลทุกๆ ดีลที่เราตกลงกัน ทุกๆ คนที่มีส่วนร่วมจะรู้สึกว่ามันยุติธรรม เราจะเป็นมิตรต่อผู้ถือลิขสิทธิ์อย่างแน่นอน

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Meet The Team Behind The New Picasso NFT Series With John Legend เผยแพร่บน ​ Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: Rihanna เปิด Savage X Fenty สาขาแรก พร้อมรับเงินหนุน 125 ล้านเหรียญฯ


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine