ด้วยความทะเยอทะยานอันแรงกล้า การร่วมมือกันครั้งยิ่งใหญ่ และการขยายตัวของบริษัทบริหารงานด้านดนตรี ในที่สุด Pablo Picasso ก็ได้เข้ามาละเลงแคนวาสในโลกบล็อกเชน
งานศิลปะดั้งเดิมจากศิลปินชื่อดัง Pablo Picasso ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1958 ที่สาธารณะชนไม่เคยได้เห็นมาก่อน อย่างชามเซรามิคขนาดใหญ่ที่อยู่ในคอลเล็กชั่นส่วนตัวของ Marina Picasso หลานสาวของศิลปินชื่อดังและ Florian Picasso ใบนี้ คือแรงบันดาลใจในการสร้างงานศิลปะดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร ทั้ง 1,010 ชิ้นที่จะถูกวางขายในวันศุกร์ที่ 28 มกราคมนี้ตามเวลาท้องถิ่น
ชุดงานศิลปะ NFTs “Visage de Couleur”5 ชุด มีจำนวนชุดละ 200 ชิ้นเท่านั้น มาพร้อมกับสีแนว contemporary ที่จะมาทำให้งานดีไซน์ใบหน้า “ปิติ” ดั้งเดิมโดดเด่นกว่าเคย โดยแต่ละชุดจะถูกนำขึ้นประมูลในราคา 2Ethereum (มูลค่าราว ๆ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ณ เวลาปัจจุบัน) ผ่าน Manandthebeat.com ตลาดออนไลน์ที่ครอบครัว Picasso เป็นเจ้าของที่มีแพลตฟอร์มใหม่จาก Origin Protocol อย่าง Origin Story อยู่เบื้องหลัง
ขณะที่ ซี่รี่ส์งาน NFTs “Visage de Lumiere” ทั้ง 10 ชิ้นจะะมาพร้อมสีสันจากงานชิ้นดั้งเดิมจะปล่อยลงประมูลบน Nifty Gateway โดยจะเปิดประมูล 24 ชั่วโมง และผู้ที่ชนะการประมูลก็จะได้รับไปครอบครอง
เงินส่วนหนึ่งจากรายได้ตรงนี้จะถูกนำไปบริจาคให้กับองค์กร Nurse Heroes และ Carbon180 องค์กร NGO ด้านภูมิอากาศ
เมื่อถูกนำขึ้นสู่ระบบบล็อกเชนแล้ว งาน NFTs ไม่สามารถผลิตขึ้นมาซ้ำได้ อีกทั้งแต่ละโทเคนต่างก็จะมีสัญลักษณ์รหัสลับที่ไม่เหมือนใคร
ส่วนงานศิลปะตัวจริงจะถูกวางขายโดยบริษัทจัดประมูลชั้นนำของโลกในต้นเดือนมีนาคมพร้อมกับงาน NFT ที่มาจากดีไซน์ที่ประดับดาอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของชามเซรามิค (โดยปกติแล้ว Pablo Picasso จะไม่วาดอะไรที่ด้านหลัง)
นอกจากนี้ งาน NFTs ทั้งหมดยังมาพร้อมกับเพลงที่ John Legend, แรปเปอร์ Nas และ Florian Picasso ดาวเด่นแห่งวงการดีเจและดนตรีสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อโปรเจ็กต์นี้โดยเฉพาะ ภายใต้ชื่อ Tomorrow ซึ่งเพลงนี้จะมีให้ฟังตามบริการสตรีมมิ่งต่างๆ กันในวันที่ 4 กุมภาพันธ์
งาน Picasso นี้เป็นงานแรกจาก Milk & Honey Labs (MHL) แผนกใหม่ใน Milk & Honey บริษัทบริหารงานด้านดนตรีและกีฬาที่โตเร็วแซงโค้ง บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2014 โดย Lucas Keller และเป็นบริษัทตัวแทนของเหล่าหัวครีเอทีฟเบื้องหลังเพลงดังของ Dua Lipa, Justin Bieber, Doja Cat, Drake และอีกมากมาย
เรื่องราวที่มาของบริษัทแห่งนี้ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไม MHL วางแผนจะโลดแล่นในตลาด NFT โดยการรังสรรค์โปรเจ็กต์ต่างๆ และเชื่อมโยงช่างทั้งหลายไว้ด้วยกันเช่นเดียวกับที่พวกเขาเชื่อมโยงโปรดิวเซอร์, นักแต่งเพลง, ดีเจ และศิลปินเข้าด้วยกันเพื่อมาสร้างเพลงฮิตสักเพลง
ที่มาของโปรเจ็กต์
วันหนึ่ง Alex Harrow หัวหน้าและผู้ร่วมก่อตั้ง MHL และ Cyril Noterman ผู้จัดการของ Florian Picasso จู่ๆ ก็ผุดไอเดียนี้ขึ้นมาได้ระหว่างคุยโทรศัพท์ โดย Harrow ก็เริ่มจัดการดีลนี้ ด้วยการจับมือกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น David Brady ประธานแห่ง Spin Artists; Nicholas Guarino จาก ArtRedefined; Eric Galen จาก Greenspoon Marder และ Stuart Price ผู้อยู่เบื้องหลังเพลงฮิต Levitating ของสาว Dua Lipa ที่จะมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ Tomorrow ด้วย
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาร่วมปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้มาช่างคุ้มค่าเหลือเกิน
“ไม่ใช่เพียงแค่เราได้เป็นพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์ NFT และผู้อำนวยการบริหารการผลิตของคอลเล็กชั่นนี้ให้กับพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังเตรียมชิ้นงานจากคอลเล็กชั่นของ Picasso ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนไว้อีกด้วย” Harrow กล่าว “และเราเองยังได้สร้างความเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับตลาดซื้อขาย NFT ผู้เล่นคนสำคัญ บริบทโดยรวม เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้เดินหน้าสร้างความเข้าใจในช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่เหล่านี้ได้จริงๆ”
“มีผู้จัดการเพลงจำนวนมากเลยที่ปล่อย NFTs ออกมา แล้วเราก็ได้เห็นความล้มเหลวไม่เป็นท่าอยู่ บางทีเป็นความล้มเหลวของศิลปินชื่อดังซะด้วย” Keller กล่าวเสริม “สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในปีที่แล้วคือ มันต้องทุ่มเท ต้องคิดให้หนัก ถึงจะประสบความสำเร็จ ท้ังตัวคอมมูนิตี้ ผู้ซื้อคนสำคัญ และกลยุทธ์มากมายที่ต้องคำนึงถึงในการเปิดตัวสิ่งเหล่านี้”
Harrow ชี้ว่าเสียงเพลงจะเป็นถูกวางให้เป็นส่วนสำคัญของโปรเจ็กต์นี้มาโดยตลอด โดยเขากล่าวว่า Legend “ให้ผ่านโดยทันที” และ Nas หนึ่งในผู้คลั่งใคล้ในคริปโตที่สุดในวงการเพลงและเมื่อต้นเดือนนี้พึ่งประกาศไปว่าจะให้แฟนๆ สามารถลงทุนในเพลงของเขาได้ผ่านการซื้อหุ้นในค่าสิขสิทธิ์เพลงของเขาได้สองเพลงก็ถูกดึงตัวให้มาร่วมงานตั้งแต่แรกๆ ด้วยเช่นกัน
"เหมือนกันกับที่ทั่วโลกได้เห็นพระอาทิตย์ก่อนที่วันหนึ่งจะหมดไป การทำเพลงนี้ก็เช่นกัน” Price กล่าว “John ได้แรงบันดาลใจที่จะเขียนท่อนหลักและทำนองของเพลงนี้ขึ้นมา ตอนที่นั่งมองไปยังรูป Picasso ที่ Florian นำมาให้ดูที่ LA หลังจากนั้น เพลงนี้ก็ถูกส่งไปที่ New York และจังหวะทุกอย่างก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แล้วก็ถูกส่งต่อไปยัง London เพื่อให้ฝั่งนั้นดูว่าเป็นอย่างไร ก่อนที่สุดท้ายจะกลับมา LA อีกครั้งเพื่อมาเรียงร้อย และ Nas ก็มาเติมเต็มบางท่อนที่ขาดไป”
เพลงชิ้นนี้จะเป็นตัวเปิดงานจากโปรเจ็กต์ของ Florian Picasso โดย Price เผยว่า “เราจะเห็นเขาร่วมงานกับศิลปินหลากหลายแนวในการแสดงออกด้วยเสียงเพลงและศิลปะที่ร้อยเรียงกันเหมือนเป็นหนึ่งเดียว”
การปล่อย NFT ครั้งต่อไปของ Milk & Honey Labs คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม และอาจจะเป็นชุดงานของ Picasso อีกหรือไม่ก็ได้ ซึ่งทาง Harrow เองก็ได้กล่าวไว้ว่า “จะมีอีกมากมาย” ที่เราจะได้เห็น
บริษัทก็กำลังทำโปรเจ็กต์มากมายกับเหล่านักร้อง คนวงการบันเทิง อินฟลูเอนเซอร์ นักออกแบบกราฟิค แบรนด์ และ IP ในพื้นที่ตรงนี้อีกด้วย “เราจะเดินหน้าสร้างสิ่งต่างๆ บน metaverse, Web 3.0 และ NFT ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการขายโทเคนงานศิลปะใดๆ ทั้งนั้น และเราก็จะเดินหน้าทำโปรเจ็กต์เกมบนบล็อกเชนด้วย” Harrow กล่าว
Keller ยังเผยข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “สิ่งที่ผมกำลังวิ่งตามอยู่หลังจากจบโปรเจ็กต์ Picasso คือเพลงของศิลปินดังทั้งหลายที่ไม่ได้ปล่อยออกมาที่เราสามารถจับคู่กับงานศิลป์ได้ ผมคิดถึงมูลค่ามหาศาล มันมีทั้งสินทรัพย์ ทั้งต้องทำงานกับค่ายเพลง และไหนยังต้องแบ่งปันกับค่ายเพลงทั้งหลายอีก”
ในขณะที่ศิลปินและผู้จัดการบางคนรีบวิ่งเข้าสู่ตลาดคริปโตเพราะพวกเขาไม่ต้องแบ่งเงินที่ได้มากับค่ายเพลงหรือสำนักพิมพ์แต่ Keller กล่าวว่า MHL จะมีหลักการที่ต่างจากคนอื่นๆ
“เราอยากจะนั่งอยู่ที่โต๊ะที่ดีลทุกๆ ดีลที่เราตกลงกัน ทุกๆ คนที่มีส่วนร่วมจะรู้สึกว่ามันยุติธรรม เราจะเป็นมิตรต่อผู้ถือลิขสิทธิ์อย่างแน่นอน”
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Meet The Team Behind The New Picasso NFT Series With John Legend เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: Rihanna เปิด Savage X Fenty สาขาแรก พร้อมรับเงินหนุน 125 ล้านเหรียญฯ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine