แพลตฟอร์ม TikTok เป็นที่รู้จักในแง่ของแหล่งรวมคอนเทนต์ที่หลากหลาย ปัจจุบัน คอนเทนต์ด้านการเงินกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ "Finfluencers" บนแพลตฟอร์มกลายเป็นดาวรุ่งและสร้างรายได้มหาศาลจากการโพสต์วิดีโอให้คำแนะนำด้านการเงินสั้นๆ
บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการด้านการเงิน CMC Markets จัดทำผลสำรวจซึ่งได้วิเคราะห์โปรไฟล์ของ ผู้ใช้บน TikTok เพื่อวัดความมีอิทธิพลและรายได้ของเหล่า “Finfluencers” หรือผู้ทำคอนเทนต์ด้านการเงินบนแพลตฟอร์ม โดยผลสำรวจที่มาพร้อมด้วยตัวเลขอันน่าทึ่ง อาจทำให้หลายๆ คนอยากผันตัวมาสร้างคอนเทนต์ผ่านวิดีโอสั้นๆ ที่ให้คำปรึกษาด้านการเงินแก่คนรุ่น Gen Z แม้บางครั้งจะเป็นการยากที่จะตัดสินว่าคลิปวิดีโอเพียงสั้นๆ ที่ให้ความรู้เรื่องการลงทุนนั้นน่าเชื่อถือมากแค่ไหน? อย่างไรก็ตาม Finfluencers อันดับต้นๆ บนแพลตฟอร์ม TikTok นั้นเป็นมากกว่ามือสมัครเล่นที่ให้คำปรึกษาด้านการเงิน รายชื่อของพวกเขามีดังต่อไปนี้:- Erika Kullberg อายุ 32 ปี อาชีพเดิมเป็นทนายบริษัท จากข้อมูลของฟีเจอร์ TikTok Money Calculator เครื่องมือที่ใช้เพื่อวิเคราะห์ตัวเลขของผู้ใช้บัญชี ปรากฏว่า Kullberg มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มจำนวน 8.9 ล้านคน และสามารถสร้างรายได้จำนวน 7,040 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหนึ่งโพสต์จากสปอนเซอร์ วิดีโอของ Kullberg ให้ความรู้หลายด้านแก่ผู้เล่น TikTok ตั้งแต่ การลงทุน จนไปถึงเรื่องกฎหมาย วิดีโอบนช่อง TikTok ของเธอเผยว่า เธอมีช่องทางรายได้จากการใช้แพลตฟอร์ม YouTube เพียงอย่างเดียวถึง 100,000 เหรียญต่อปี
- Mark Tilbury ผู้ประกอบการสัญชาติอังกฤษวัย 53 ปี เป็นอินฟลูเอนเซอร์ยอดนิยมอันดับ 2 ที่ได้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การออม และการเจรจา โดย Tilbury มียอดผู้ติดตามจำนวน 7.1 ล้านคน พร้อมรายได้จำนวน 5,860 เหรียญต่อหนึ่งโพสต์จากสปอนเซอร์ โดย Tilbury มียอด engagement เยอะที่สุดในบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ลำดับต้นๆ ด้วยยอดไลค์เฉลี่ย 154,650 ไลค์ต่อหนึ่งวิดีโอ
- Duke Alexander Moore หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Duke Tax เขามีผู้ติดตาม 3.4 ล้านคนและสร้างรายได้จากการลงวิดีโอสปอนเซอร์ คลิปละ 2,720 เหรียญ Moore ให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำส่วนตัวในเรื่องการเงินแก่เหล่าผู้ทำคอนเทนต์และผู้ประกอบการ นอกจากนี้ เขายังเป็นโค้ชและนักบัญชีภาษีอากรที่ได้รับการรับรอง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในห้าอันดับต้นของผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษีที่บริษัท QuickBooks ซึ่งทำธุรกิจซอฟต์แวร์ให้บริการด้านการทำบัญชี ที่เมือง Dallas รัฐ Texas
- Brandon Schlichter ผู้มีรายได้จากธุรกิจส่วนตัว 2 ล้านเหรียญต่อปี และมีความมั่งคั่งสุทธิมากกว่า 10 ล้านเหรียญ สามารถสร้างรายได้จำนวน 2,640 เหรียญต่อหนึ่งวิดีโอจากสปอนเซอร์ ด้วยผู้ติดตามจำนวน 3.4 ล้านคน คลิปวิดีโอที่ให้คำปรึกษาด้านการเงินที่ยอดนิยมที่สุดของเขามียอดรับชมถึง 45 ล้านวิว โดยคลิปได้นำเสนอใ้ห้เห็นว่าธุรกิจร้านซักผ้าของเขาทำเงินได้มากเท่าไหร่ต่อวัน
- Humphrey Yang มีอาชีพเดิมเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนของธนาคาร ปัจจุบันเขาให้คำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนบน TikTok พอร์ตโฟลิโอของ Yang ได้แก่ Vanguard, Robinhood, Coinbase, WeBull, Fidelity, Public, และ Wealthfront ซึ่งเขาได้ลงทุนเงินจำนวนมากถึง 500,000 เหรียญต่อเดือน
รายได้รวมทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่?
กรณีที่อินฟลูเอนเซอร์อันดับต้นๆ ได้ลงโพสต์จากสปอนเซอร์จำนวน 2 โพสต์ต่อสัปดาห์ พวกเขาจะมีรายได้ต่อปีจำนวนถึง 275,000-750,000 เหรียญ ถ้าหากเป็นวิดีโอ #fintok ทั่วไปที่มีความยาวเกินกว่า 1 นาที พวกเขาสามารถสร้างรายได้ถึง 58,684-432,775 เหรียญต่อชั่วโมง การสร้างรายได้จำนวนมากภายในเวลา 104 นาทีจึงถือว่าเป็นเวลาในการทำงานที่ไม่แย่เลยทีเดียวคำปรึกษาด้านการเงินบนแพลตฟอร์ม TikTok ดีจริงหรือไม่?
เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเจเนอเรชั่นใหม่ได้หันมาค้นหาข้อมูลและคำปรึกษาด้านการเงินบนแพลตฟอร์ม TikTok มากขึ้น จากการสำรวจโดย LendingTree แพลตฟอร์มตัวกลางประสานงานระหว่างผู้กู้และผู้ให้สินเชื่อ พบว่า 4 ใน 10 ของคนรุ่น Gen Z ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ถึง 26 ใช้ TikTok เพื่อหาข้อมูลด้านการลงทุน ในขณะที่คนเจเนอเรชั่น Millennials (อายุระหว่าง 27-41) มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Greenlight ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันการเงินสำหรับผู้ใช้ที่เป็นเด็ก ยังเผยอีกว่า ร้อยละ 35 ของเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 13-20 ปีได้หันมาพึ่งพาคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนบนแพลตฟอร์ม TikTok มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญนั้นตั้งอยู่บนคำถามที่ว่า คำแนะนำเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน? ทางสำนักข่าว CNBC ได้ทำการประเมินคำแนะนำด้านการเงินโดยเหล่าอินฟลูเอนเซอร์บนแพลตฟอร์มและได้ข้อสรุปว่า: “พวกคำแนะนำด้านการเงินบน TikTok อาจไม่ค่อยมีความแม่นยำมากนัก บางวิดีโอที่เจอนั้นมีเวลาไม่ถึง 30 วินาทีและเป็นคำแนะนำซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั่วๆ ไป ในขณะที่บางอันเป็นคำแนะนำแบบ “รวยเร็ว” โดยไม่ได้ให้รายละเอียดในเชิงลึก ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันคนรุ่นหลังจะสามารถเข้าถึงคำแนะนำเหล่านี้ทางโซเชียลมีเดียได้ แต่การสืบหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ” ด้านสำนักข่าว Vox ได้ออกมาให้คำเตือน: “ทั้งนี้ อย่างเลวร้ายที่สุดเลย พวกคำแนะนำด้านการลงทุนบน TikTok เป็นการส่งเสริมการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงและผลิตภาพจำของมายาคติทางการเงิน อีกทั้งยังเป็นการส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ สิ่งที่ผู้ใช้ TikTok ได้เสพบนแพลตฟอร์มส่วนมากไม่ใช่คำแนะนำที่ดีหรือมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ แต่เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกที่ทำเงินได้จากการซื้อขายหุ้น Tesla ต่างหาก”ทำไมคำแนะนำด้านการเงินบน TikTok ถึงเป็นที่นิยม?
แม้คำแนะนำด้านการเงินบน TikTok จะได้รับการวิจารณ์จากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในวงการเป็นอย่างหนัก ทว่า คำวิจารณ์เหล่านั้นขาดความเข้าใจในแรงจูงใจของผู้ใช้ที่เสพคอนเทนต์ดังกล่าว โดยปกติแล้ว ธนาคารหรือที่ปรึกษาด้านการลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่การทำคอนเทนต์เพื่อการศึกษา หรือก็คือคอนเทนต์ที่จะเพิ่มความรู้ด้านการเงินให้แก่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่คอนเทนต์ที่คนรุ่น Gen Z (หรือแม้แต่รุ่นอื่นๆ) กำลังมองหา “จุดประสงค์หลักของ TikTok คือการเสริมสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง เราได้เห็นผู้คนบนแพลตฟอร์มของเราเปิดรับไอเดียและคอนเทนต์ที่ทั้งหลากหลายและมีประโยชน์ เราจึงมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนให้คอนเทนต์เหล่านั้นได้เติบโตด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความคิดสร้างสรรค์และความปลอดภัย” Spokesperson ของ TikTok ได้กล่าวไว้ในสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ในแง่นี้ หากลองเปรียบกับการเรียนการสอนที่โรงเรียน อาจจะเห็นได้ว่าวิชาที่เรียนแล้วให้ความรู้สึกน่าสนใจนั้นเป็นเพราะมีองค์ประกอบของความบันเทิงสอดแทรกไปพร้อมการให้ความรู้ คอนเทนต์ที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิงจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนนับล้านจึงติดตามเหล่าอินฟลูเอนเซอร์บน TikTok ในทางเดียวกัน การให้คำแนะนำเพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะเป็นคำแนะนำที่ดีแค่ไหน แต่หากขาดความสนุกและความน่าสนใจ อินฟลูเอนเซอร์จะไม่สามารถรวบรวมผู้ติดตามหรือรายได้จากการลงโพสต์ให้สปอนเซอร์ได้เป็นจำนวนมากขนาดนี้ แปลและเรียบเรียงโดย สิรินนรี อ๋องสกุล จากบทความ How Much Do TikTok Influencers Make Teaching Gen Z How To Invest? เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม:ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine