เปิดโลกการลงทุนเพื่อการศึกษา - Forbes Thailand

เปิดโลกการลงทุนเพื่อการศึกษา

FORBES THAILAND / ADMIN
31 Jul 2023 | 11:00 AM
READ 6514

“การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง” มุมมองจาก Warren Buffett นักลงทุนระดับโลก ที่กล่าวสร้างแรงบันดาลใจถึงการให้คุณค่ากับความรู้และการพัฒนาตัวเอง สะท้อนถึงความสนใจในการลงทุนที่เติบโตไปพร้อมกับการศึกษาในต่างประเทศของบุตรหลานด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นวิถีของผู้มั่งคั่งในประเทศไทยช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา

   

    แนวคิดการวางแผนลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตด้านการศึกษาของบุตรหลานของผู้มั่งคั่งในประเทศไทยที่มองไกลถึงผลตอบแทนการลงทุนจากหลายทาง ทั้งความสำเร็จด้านการศึกษา อัตราค่าเช่า รวมถึงผลกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ “อังกฤษ” ประเทศที่ติด 1 ใน 5 จุดหมายด้านการศึกษาจากนักเรียนทั่วโลกและนักลงทุน

เจาะ 4 เรื่องน่ารู้ก่อนลงทุนอสังหาฯ ในอังกฤษ

    เหตุผลที่ทำให้ “อังกฤษ” เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของนักลงทุนและนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อต่างประเทศจากทั่วโลก แบ่งออกเป็น 4 เรื่องสำคัญ ดังนี้

    1. มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ได้แก่ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอีกมาก ทำให้ทุกครั้งที่มีการสำรวจความสนใจของผู้ต้องการศึกษาต่อต่างประเทศจะมีอังกฤษติดโผอยู่ในทุกความเห็นและความนิยม

    ขณะที่งานวิจัยจาก World Scholars Hub ได้เผยรายชื่อประเทศที่ดีที่สุดในการศึกษาต่อต่างประเทศ โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ถัดมาคือออสเตรเลีย ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟ สเปน ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนภาษา ไอร์แลนด์ ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับศิลปะและวัฒนธรรม และอังกฤษ ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการศึกษาระดับโลก

    นอกจากนั้น OCSC International Education Expo 2022 งานที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ในชื่อมหกรรมการศึกษาต่อต่างประเทศ ครั้งที่ 17 เมื่อ 12-13 พฤศจิกายน 2565 เป็นการรวบรวมสุดยอดสถาบันการศึกษาและทุนมหาวิทยาลัยจาก 24 ประเทศทั่วโลก พร้อมสำรวจความเห็นของนักศึกษาไทย ซึ่งอังกฤษเป็นประเทศที่คนไทยให้ความสนใจในการศึกษาต่อต่างประเทศมากที่สุด ตามด้วยออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์

    2. การเดินทาง ที่สร้างความสะดวกสบาย ทำให้ผู้ใช้ชีวิตในเมืองรวมถึงนักศึกษาจากหลายประเทศทั่วโลกมีทางเลือกในการใช้งาน โดยมีทั้งการเดินทางโดยรถไฟใต้ดินลอนดอนที่เปิดให้บริการมากกว่า 200 สถานี แบ่งออกเป็น 6 โซนด้วยกัน นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟ DLR ที่ขนส่งผู้โดยสารจากในเมืองสู่ชานเมือง รวมถึงรถประจำทางที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยรถบัส 2 ชั้น ซึ่งเส้นทางวิ่งรถจะแบ่งเป็นโซนใจกลางเมือง London และโซนนอกเมือง ส่วนทางเลือกสุดท้ายคือแท็กซี่ เป็นอีกบริการที่สะดวกสบายและคล่องตัวสำหรับคนที่เดินทางในกรุง London

    3. บรรยากาศเมืองที่สวยงามและไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง แวดล้อมด้วยสถานที่เที่ยวสวยงาม ได้แก่ พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดใน London และลอนดอนอาย หรืออีกชื่อเรียกหนึ่งคือ Millennium Wheel ชิงช้าสวรรค์ที่มีความสูง 135 เมตร

    4. แหล่งที่พักอาศัย ที่พักอาศัยกระจายตัวอยู่ในย่านของการพักอาศัยในเขตเมือง โดยไฮไลต์จะอยู่บริเวณรอบสวนไฮด์พาร์กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางของตลาดที่อยู่อาศัยกลางเมือง London โดยมีหลายโครงการเกิดขึ้นที่นี่ ได้แก่ โครงการอย่าง One Hyde Park และ One Kensington Gardens นอกจากที่กล่าวมาแล้ว London ยังอยู่ระหว่างการขยายเมืองเพื่อรองรับนักลงทุนและนักศึกษาที่เข้ามาใช้ชีวิตที่นี่ เช่น บริเวณเขต W2 ที่ตั้งอยู่กลางเมือง London ระหว่างย่านตลาดที่อยู่อาศัยชั้นนำอย่างนอตติงฮิลล์ สวนเคนซิงตัน และ Marylebone ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาพื้นที่รองรับโครงการใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

    จากความพร้อมดังกล่าว ทำให้ “อังกฤษ” เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีครบรอบด้านในมิติของการอยู่อาศัย การลงทุน และการเรียนหนังสือ

เจาะโอกาสอสังหาฯ น่าลงทุน

    ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษเริ่มกลับมาน่าสนใจและมีความต้องการมากขึ้นจากนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะนักลงทุนชาวไทย ซึ่ง Frank Khan ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านโครงการที่พักอาศัย ได้เปิดโลกการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษด้วยการชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายการลงทุนและการศึกษาในประเทศอังกฤษว่า จากพฤติกรรมการลงทุนในช่วงก่อน COVID-19 และหลังสถานการณ์การระบาด พบว่านักลงทุนในไทยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (High-Net-Worth Individual หรือ HNWI) ที่มีเงินฝากในบัญชีอยู่ที่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 พันล้านบาท และผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra-High-Net-Worth Individual หรือ UHNWI) ที่มีเงินฝากในบัญชี 60 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 พันล้านบาท

นักลงทุนที่มั่งคั่งทั้ง 2 กลุ่มจำนวนมากถึง 95-100% สนใจ

    ลงทุนที่อังกฤษด้วยเหตุผลของการส่งลูกหลานไปเรียนและลงทุนที่พักอาศัยไปพร้อมๆ กัน โดยสัดส่วนของการลงทุนดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนสถานการณ์ COVID-19 ขณะที่เมื่อ COVID-19 เริ่มคลี่คลายพบว่าสัดส่วนเฉลี่ย 10-15% จากนักลงทุนทั้งหมดตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยเหตุผลต้องการลงทุน โดยไม่มีเหตุผลด้านการศึกษาของบุตรหลานเข้ามาเกี่ยวข้อง

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน London ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักลงทุนนั้นมีหลายส่วนประกอบกัน ทั้งค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ปัญหารัสเซีย-ยูเครน และปัญหาราคาพลังงาน โดยประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน ได้แก่ โรงแรม โฮสเท็ล ออฟฟิศ ที่อยู่อาศัย

คอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัยและลงทุน

    “ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน London ประเทศอังกฤษ ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งสำหรับนักลงทุนจากทั่วโลก รวมถึงผู้มั่งคั่งในไทยที่เล็งเห็นโอกาสนี้เช่นกัน รองลงมาก็เป็นตลาดที่ New York ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Paris ประเทศฝรั่งเศส”

    นอกจากศักยภาพของสินทรัพย์ ค่าเงิน และปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว ยังมีในส่วนของกฎระเบียบการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความชัดเจนและคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมากด้วย

    ความน่าสนใจถัดมาเป็นเพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน London มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งความสะดวกในการเดินทางที่บินตรงจากประเทศลาวมุ่งหน้าสู่ London ได้เลย ส่วนอัตราผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 4-5% เป็นผลตอบแทนจากออฟฟิศ ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยผลตอบแทนประมาณ 3% มาจากการปล่อยเช่าแต่สามารถทำ capital gain จากการขายได้ดีกว่า

จับตา Accommodation อสังหาฯ​ ใกล้มหาวิทยาลัย ตลาดน่าลงทุนใหม่ในอนาคต

    ประเทศอังกฤษนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกจำนวนมาก เช่น Cambridge เมืองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ในอังกฤษ อยู่ห่างจาก London ไปทางตอนเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร และเป็นเมืองที่มีเขตอุตสาหกรรมความรู้ที่ชื่อว่า Oxford-Cambridge Arc ซึ่งเปรียบได้กับมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ในไทยอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา ที่มีมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลาง แวดล้อมด้วยโครงการที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมกันเป็นเมืองที่แวดล้อมด้วยผู้คน ซึ่งมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษก็มีรูปแบบการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน เช่น คิงส์คอลเลจลอนดอน และอีกเป็นจำนวนมากกว่า 20-30 แห่ง ที่กระจายกันอยู่ในแต่ละทำเลที่มีศักยภาพ

    จากศักยภาพของความเป็นเมืองด้านการศึกษาและการพัฒนาเทคโนโลยี Frank มองถึงโอกาสการลงทุนในโครงการ accommodation หรืออาคารที่พักอาศัยใกล้มหาวิทยาลัย ว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีศักยภาพมากสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่จะเข้าไปลงทุนและสร้างผลตอบแทนจากการเช่าในระยะยาว

ส่องการถือครองอสังหาฯ ในต่างแดน

    ในหลายๆ ประเทศ ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ที่ดิน และบ้านได้ภายใต้เงื่อนไขหรือข้อกำหนดที่รัฐบาลประกาศไว้ 

    สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด (Property DNA) บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ให้ข้อมูลไว้น่าสนใจ ดังนี้

    • มาเลเซีย ชาวต่างชาติที่เข้าร่วมโครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) จะได้วีซ่าระยะยาว 10 ปี โดยสามารถซื้อที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านริงกิตขึ้นไป และต้องมีเงินประมาณ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ เก็บไว้ในธนาคารของมาเลเซีย โดยห้ามถอนจนกว่าจะเดินทางออกนอกประเทศมาเลเซีย

    ในกรณีการครอบครองอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เช่น การครอบครองอาคารพาณิชย์มูลค่า 500,000 ริงกิตขึ้นไป การครอบครองที่ดินทางการเกษตรมูลค่า 500,000 ริงกิตขึ้นไป และการครอบครองที่ดินทางอุตสาหกรรมมูลค่า 500,000 ริงกิตขึ้นไป จะต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศเท่านั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 มาเลเซียเปิดตัววีซ่าใหม่ชื่อ Premium Visa Programme (PVIP) พร้อมเงื่อนไขที่ว่านักลงทุนและผู้มีความมั่งคั่งทุกเพศทุกวัยสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้โดยต้องมีรายได้นอกมาเลเซียอย่างน้อย 40,000 ริงกิตต่อเดือน หรือ 480,000 ริงกิตต่อปี (ประมาณ 3.87 ล้านบาท) และมีเงินในบัญชีออมทรัพย์อย่างน้อย 1 ล้านริงกิต (ประมาณ 8 ล้านบาท) ไม่อนุญาตให้ถอนเงินต้นในปีแรก แต่หลังจากนั้นสามารถถอนเงินได้สูงสุด 50% วีซ่านี้มีอายุยาวถึง 20 ปี โดยให้ต่ออายุวีซ่าทุกๆ 5 ปี วัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดคนที่มีศักยภาพสูงเข้าประเทศ

    • สิงคโปร์ ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมในสิงคโปร์ได้ แต่รัฐบาลมีมาตรการทางด้านภาษีที่ค่อนข้างสูง พร้อมเงื่อนไขต้องมีเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านดอลลาร์ ทั้งยังต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานที่ดินของสิงคโปร์ นอกจากนี้เงื่อนไขยังกำหนดถึงการห้ามซื้อทุกยูนิตในโครงการเดียวกัน รวมถึงชาวต่างชาติไม่สามารถซื้อคอนโดมิเนียมของการเคหะของสิงคโปร์ได้ ขณะที่สามารถถือครองที่ดินในรูปแบบสิทธิการเช่าเป็นระยะเวลา 99 ปีแบบไม่มีการต่อสัญญา ซึ่งจะต้องดำเนินการในนามของนิติบุคคล

    เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2566 รัฐบาลสิงคโปร์ออกวีซ่าแบบใหม่เพื่อดึงดูดคนที่มีศักยภาพสูงและผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี วีซ่านี้คือ Overseas Networks & Expertise (ONE Pass) ซึ่งเป็นวีซ่าที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติพร้อมครอบครัวที่มีความสามารถตรงตามเงื่อนไขอยู่ในสิงคโปร์ได้ยาว 5 ปี และยังอนุญาตให้แรงงานสามารถทำงานกับบริษัทสิงคโปร์ได้หลายบริษัทในคราวเดียวด้วย สำหรับสิทธิดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือ ชาวต่างชาติต้องมีรายได้อย่างน้อย 30,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อเดือน รวมถึงกลุ่มแรงงานที่มีความสามารถโดดเด่นในด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และวิชาการ สามารถยื่นขอวีซ่าประเภทนี้ได้เช่นกัน

    • เวียดนาม ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมแบบเช่าซื้อในเวียดนามได้ไม่เกิน 30% ของคอนโดมิเนียมทั้งหมดและสามารถเช่าที่ดินในเวียดนามเป็นระยะเวลาประมาณ 50-70 ปีโดยที่ไม่มีการต่อสัญญาเมื่อการเช่าครบกำหนด และต้องเป็นที่ดินที่อยู่นอกพื้นที่ความมั่นคง

    • อินโดนีเซีย ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมในอินโดนีเซียได้ แต่จะได้รับเป็นใบรับรองการเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะแยกออกจากสิทธิในการถือครองที่ดิน โดยที่โฉนดคอนโดมิเนียมยังเป็นของบริษัทผู้ประกอบการเจ้าของโครงการ (เช่าซื้อ) ส่วนที่ดินจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ในอินโดนีเซียเท่านั้นที่สามารถเช่าได้ และต้องเป็นไปเพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น ชาวต่างชาติสามารถมีสิทธิในการเป็นเจ้าของอาคารต่างๆ ได้ แต่ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินที่อาคารนั้นๆ ตั้งอยู่

    • กัมพูชา ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมในกัมพูชาได้เฉพาะโครงการที่สร้างขึ้นใหม่ และไม่รวมพื้นที่ชั้น 1 แต่ต้องไม่เกิน 70% ของคอนโดมิเนียมทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการเช่าสามารถทำได้ปกติ อาคารต่างๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของได้ ยกเว้นที่ดินที่ยังเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินเดิมชาวต่างชาติสามารถเช่าที่ดินได้ 99 ปีเมื่อรัฐบาลอนุญาต

    • ฟิลิปปินส์ ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมในฟิลิปปินส์ได้ แต่ต้องไม่เกิน 40% ของคอนโดมิเนียมทั้งหมด ถ้าเป็นการเช่าสามารถทำได้ปกติ ชาวต่างชาติสามารถเช่าที่ดินได้ 50 ปีและไม่สามารถต่อสัญญาต่อได้

    • เกาหลีใต้ เป็นประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดในการอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท แต่ถ้าต้องการมีสัญชาติเกาหลีสามารถทำได้โดยการเข้าพักที่เกาะเชจูเป็นเวลา 5 ปี โดยต้องลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 430,000 เหรียญสหรัฐ โดยเกาะเชจูเป็นเขตปกครองพิเศษที่อนุญาตให้เข้าออกได้โดยที่ไม่ต้องมีวีซ่า

    • ญี่ปุ่น ชาวต่างชาติที่มีวีซ่าประเภทใช้ชีวิตในญี่ปุ่นแบบเต็มเวลาสามารถซื้อที่ดิน บ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทใดก็ได้ในญี่ปุ่น แต่ต้องมีงานทำ หรือทำธุรกิจในญี่ปุ่นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจมากกว่าทั้งในเรื่องการเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการลงทุนเพื่อขอสัญชาติของประเทศนั้นๆ เช่น มอลตา ไซปรัส โปรตุเกส มอนเตเนโกร เพื่อที่จะได้สัญชาติแล้วสามารถเดินทางไปไหนมาไหนและทำธุรกิจในสหภาพยุโรปได้สะดวกกว่าที่ผ่านมา ทั้งยังมีอีกหลายประเทศที่มีกฎหมายคล้ายๆ กันนี้ แต่แลกกับการได้สิทธิในการพำนักระยะยาว หรือ Long-Term Visa คล้ายๆ กับที่ประเทศไทยเปิดให้ 4 กลุ่มเป้าหมาย โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามเช่นกัน

    ทั้งนี้ในหลายประเทศมีการเปิดให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุ และต้องเสียภาษี รวมถึงค่าธรรมเนียมซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ หรือต้องมีการทำธุรกิจเพื่อสร้างงานให้กับคนในประเทศนั้นๆ ตามที่กำหนด 


    อ่านเพิ่มเติม : "เนเบอร์สฯ" เอเจนซี แนะนักการตลาด งัดกลยุทธ์สู้เทรนด์ พิชิตเป้าหมายลูกค้า

    คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine