นับตั้งแต่ยุค 1970 เป็นต้นมา Bill Boyd ได้สร้างกาสิโนราคาประหยัดขึ้นเป็นอาณาจักร พร้อมก้าวขึ้นเป็นเจ้าพ่อคนแรกๆ แห่ง Vegas แต่หลังจากที่เมืองแห่งนี้มีการแปลงโฉมจากแอ่งน้ำกลางทะเลทรายกลายเป็นแหล่งพนันอันหรูหราเขาจึงพยายามแปลงโฉมตัวเองบ้างจนเกือบจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ในเวลานี้เขายังคงยึดมั่นในความย่อมเยาด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าเคย
หน้าร้อนใน Las Vegas มักเงียบสงบเป็นปกติแต่แล้ววันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ท่ามกลางอุณหภูมิ 38 องศา บรรดานักพนันต่างตบเท้ามุ่งสู่ California Hotel ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นทรัพย์สินดั้งเดิมของบริษัทมหาชนอย่าง Boyd Gaming ที่ชั้นกาสิโน Bill Boyd ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารกำลังเดินปิดฉากกิจกรรมประจำวันที่เขาก่อขึ้นมาเป็นเวลา 40 ปี สำหรับที่ The California แห่งนี้ก็เหมือนกับทรัพย์สินทุกแห่งของ Boyd คือ ให้บริการเฉพาะนักพนันที่รู้จักเงินในกระเป๋าของตัวเองดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่หรือไม่ก็ชนชั้นกลางจากนอกเมือง The California ไม่ใช่ที่เล่นเมื่อตอนที่ Boyd นำหุ้นของบริษัทขายให้แก่สาธารณชนในปี 1993 เขาเป็นเจ้าของกาสิโน 6 แห่งที่ทำกำไรอย่างแข็งแกร่ง รวมกันแล้วทำรายได้กว่า 430 ล้านเหรียญ ทุกแห่งมีรูปแบบเหมือนกับ The California คือเป็นสถานที่พนันราคาย่อมเยา ถัดมาอีก 15 ปี ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นทำให้ Boyd กลายเป็นมหาเศรษฐี เขาพกพาความมั่นใจวางเดิมพันด้วยการสร้างกาสิโนชั้นสูงกว่าเดิม คือ Borgata ที่ Atlantic City ในปี 2003 และ Echelon Place ที่ The Strip ในอีก 3 ปีต่อมา ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเลวร้าย ทั้ง Atlantic City และ Las Vegas กลายเป็นตลาดที่อิ่มตัวขึ้น ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอย ภายในเวลา 17 เดือน มูลค่าหุ้นของ Boyd Gaming ทรุดตัวลงไปถึง 94% เหลือเพียงไม่ถึง 3 เหรียญเมื่อปลายปี 2008 เพื่อไม่ให้ล้มละลาย Boyd ต้องตัดสินใจอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว หลายต่อหลายครั้ง เขาพับแผนสร้างกาสิโนหรูไว้ก่อน แล้วหันมาสร้างกาสิโนราคาประหยัดในชนบทของสหรัฐฯ เขามองว่าการตัดสินใจของตนเองทำให้บริษัทต้องปั่นป่วนขนาดนี้ จึงอยากจะได้รับคำแนะนำในการแก้ปัญหาและได้แต่งตั้ง Keith Smith กรรมการผู้จัดการบริษัทขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Boyd จึงมีคู่หูเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่บิดาของเขา (ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Boyd Gaming อีกราย) เสียชีวิตเมื่อปี 1993 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2008 เป็นต้นมา หุ้นของ Boyd Gaming ทะยานกว่า 700% หรือมากกว่าการเติบโตของดัชนี S&P 500 เกือบ 3 เท่าตัว ขณะที่ Boyd เกือบได้กลับมาเป็นมหาเศรษฐีอีกครั้ง (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิโดยประมาณกว่า 700 ล้านเหรียญ) บริษัทพลิกสถานการณ์จากขาดทุน 223 ล้านเหรียญในปี 2008 กลับมาทำกำไรเกือบ 200 ล้านเหรียญได้ในปีที่ผ่านมา จากรายได้ 2.4 พันล้านเหรียญ “ตอนที่เจอภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ มันลำบากมาก” Smith กล่าว “เราต้องตัดสินใจอย่างยากมากๆ เพื่อยุติโครงการปรับปรุงธุรกิจ และพยายามผ่านพ้นมันไปให้ได้”ย้อนเลยเมืองแห่งอันธพาล
Boyd ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นุ่มๆ ในร้าน Redwood Steakhouse ที่ The California เขาขยับตัวให้นั่งสบายๆ เล่าย้อนถึงต้นกำเนิดของบริษัท ซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่นี่ นั่นคือ The California ที่โต๊ะไพ่แบล็กแจ็ก อาจทำเงินหรือสูญเงินกันไปมากมายมหาศาลแล้วเพียงแค่ช่วงเวลาที่ Boyd บอกเล่าเรื่องราวของเขา ซึ่งย้อนกลับไปจนถึงสมัยที่ Vegas พัวพันกับเหตุอันธพาลในยุคของ Bugsy Siegel ช่วงยุค 1940 การเสียชีวิตของบิดาทำให้ Boyd ต้องบริหารบริษัทเพียงลำพัง และเขาเลือกที่จะนำบริษัทมุ่งหน้าเดินคนละทาง นั่นคือสู่ Atlantic City เมืองที่เจริญรุ่งเรืองมายาวนาน จำนวนกาสิโนจาก 0 ในปี 1976 ซึ่งเป็นปีที่การพนันกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นนับสิบในอีก 20 ปีต่อมา และก่อนที่การพนันจะกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายทั่วชายฝั่งตะวันออกนั้นรายได้จากการพนัน (หรือที่เรียกว่า “ชัยชนะในกาสิโน”) ในกาสิโนทั่ว Atlantic City รวมแล้วอยู่ที่เกือบ 4 พันล้านเหรียญ ในปี 2013 Genting Group บริษัทกาสิโนในมาเลเซียเข้าซื้อ The Echelon ไปในราคา 350 ล้านเหรียญ โดย Boyd บอกว่า“น่าผิดหวังจริงๆ มันกำลังได้เป็นพระเอกของบริษัทอยู่แล้ว ทั้งที่เราไม่อยากหยุดสร้างมันมากแค่ไหน และไม่อยากขายมันไปมากเพียงใดแต่เราก็รู้ดีเท่าๆ กันว่า เราจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด” บรรยากาศใน Atlantic City อึมครึมไม่แพ้กัน ไม่เกินปี 2013 รัฐต่างๆ นับสิบแห่งไม่รวม Nevada กับ New Jersey ต่างมีการพนันในรูปแบบกาสิโนกันแล้ว รายได้รวมจากเกมใน Atlantic City ลดลงจากที่เคยสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 5.2 พันล้านเหรียญในปี 2006 เหลือไม่ถึง 3 พันล้าน อีกหลักฐานคือจำนวนผู้มาเยือน Atlantic City จากเมืองอื่นลดลงกว่า 20% เมื่อไม่มีแผนการอันหรูหราอีกต่อไป Boyd จึงหันมาพึ่งพาสิ่งที่ทำให้บริษัทของเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่แรก นั่นคือกาสิโนราคาย่อมเยาคอยต้อนรับกับนักพนันทุนต่ำ Boyd จับตามองทั่วสหรัฐฯ แทนที่จะขยายธุรกิจในเมืองที่มีคนเยอะๆ อย่าง Vegas การสร้างกาสิโนแห่งใหม่มีความเสี่ยงที่เขารับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ เขายังมี Smith ที่ย้ำว่างานก่อสร้างใหม่ๆ มีต้นทุนมหาศาล ขณะที่กระแสเงินสดที่ได้คืนมานั้นแทบจะไม่มี การเข้าซื้อกิจการจึงน่าจะดีกว่าตลอด 6 ปีที่ผ่านมา Boyd Gaming ทุ่มเงิน 2.9 พันล้านเหรียญเข้าซื้อกาสิโน 13 แห่ง ในการทำสัญญาเหล่านี้ Smith ได้ศึกษาข้อมูลตัวเลขของรายการซื้อในเป้าหมายมาแล้ว และเล็งกาสิโนมูลค่า 10-15 ล้านเหรียญ (Ebitda) ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็เลือกกาสิโนที่มีราคาเกือบ 20 ล้านเหรียญ โดยพื้นฐานแล้วเป็นกาสิโนที่ครองตลาดในท้องถิ่น “ถ้ามีคู่แข่ง 5 คนในตลาด เราจะไม่ซื้อทรัพย์สินที่เข้ามาเป็นอันดับ 4 และ 5” Smith กล่าว ปัจจุบันอาณาจักรพนันเล็กๆ นี้ขยายจาก The Valley Forge Casino Resort ใน Pennsylvania ไปจนถึง The Par-a-Dice ใน Illinois และ Sam’s Town Shreveport ใน Louisiana เมื่อเดือนตุลาคม Boyd Gaming ทำสัญญาฉบับสุดท้ายเสร็จสิ้น โดยลงทุน 575 ล้านเข้าซื้อกาสิโน 4 แห่งใน Missouri, Indiana และ Ohio มาจาก Pinnacle Entertainment “พวกเขารักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวดดีจริงๆ สำหรับสิ่งที่กำลังทำอยู่” David Katz นักวิเคราะห์ของ Jefferies กล่าว ตลาดหุ้นต่างขานรับ Boyd Gaming นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะให้เข้าซื้อหุ้นขณะที่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์มองว่า กาสิโนในชนบทอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างที่เกิดขึ้นต่อการจับจ่ายของผู้บริโภคน้อยกว่า ตรงกันข้ามกับ Vegas ที่แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความอ่อนแอในช่วงภาวะถดถอยเมื่อปี 2008 เศรษฐกิจที่นั่นหดตัว 3 ปีติดต่อกัน หรือยาวนานกว่าภาพรวมของทั้งประเทศ 1 ปี เรื่อง: Abram Brown เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชมคลิกเพื่ออ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2562 ในรูปแบบ e-Magazine