U-NEXT สตรีมมิ่งยักษ์ ผู้ท้าทาย Netflix ในญี่ปุ่น กับการก้าวสู่ความสำเร็จบทใหม่

U-NEXT สตรีมมิ่งยักษ์ ผู้ท้าทาย Netflix ในญี่ปุ่น กับการก้าวสู่ความสำเร็จบทใหม่

FORBES THAILAND / ADMIN
12 Nov 2025 | 08:20 AM
READ 106

Yasuhide Uno กรรมการผู้จัดการใหญ่และซีอีโอ U-NEXT HOLDINGS ฟื้นจากจุดต่ำสุดในชีวิตการทำงานและปลุกปั้นบริษัทสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งพอจะท้าทาย Netflix ในตลาดบ้านเกิด ขณะนี้เขามาดหมายรายได้ระดับ 1 ล้านล้านเยน และผลักดันให้ชื่อบริษัทเป็นที่รู้จักในครัวเรือนชาวญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น


    ในปี 2021 รีโมตโทรทัศน์ที่มีปุ่มลัดสู่แอป U-NEXT โดยเฉพาะ เริ่มวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในญี่ปุ่น ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมสัญชาติญี่ปุ่นนี้ได้เพียงคลิกเดียว

    ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย GEM Partners จาก Tokyo ระบุว่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา U-NEXT สามารถแซงหน้า Amazon Prime Video ขึ้นแท่นเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ Netflix ในญี่ปุ่นเมื่อพิจารณาจากส่วนแบ่งทางการตลาด

    ด้วยจำนวนสมาชิกราว 4.6 ล้านบัญชี (ณ เดือนกุมภาพันธ์) U-NEXT ถือว่ายังห่างชั้นเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ที่มีผู้ชมหลายร้อยล้านคนทั่วโลก แต่กระนั้นก็กล่าวได้ว่า U-NEXT เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีคลังคอนเทนต์ท้องถิ่นมากที่สุดในญี่ปุ่น

    ผู้สมัครใช้งาน U-NEXT ยังได้รับสิทธิ์เข้าถึงความบันเทิงที่หลากหลายอื่นๆ ทั้งภาพยนตร์ Hollywood ฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุด การชมคอนเสิร์ตแบบไลฟ์สตรีมมิ่ง การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ และซีรี่ส์ยอดนิยมอย่าง The White Lotus ไปจนถึงการอ่านหนังสือ e-book การ์ตูนและนิตยสารผ่านระบบออนไลน์

    นอกจากนี้ สมาชิกยังได้รับคะแนนสะสมทุกเดือนซึ่งสามารถนำไปใช้แลกรางวัลตั๋วภาพยนตร์หรือการเข้าถึงรายการใหม่ล่าสุดบนแพลตฟอร์ม

    ด้วยแนวทางที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ทำให้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ภายใต้เครือบริษัทจดทะเบียน U-NEXT HOLDINGS แห่งนี้ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในประเทศญี่ปุ่น ทว่า Yasuhide Uno วัย 61 ปี ผู้พลิกฟื้นธุรกิจครอบครัวที่เคยมีปัญหาจนสร้าง U-NEXT ให้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 2.6 พันล้านเหรียญ มีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานกว่านั้น หนึ่งในจุดมุ่งหมายของเขาคือ การเพิ่มรายได้ของบริษัทให้เติบโตมากกว่า 3 เท่าสู่ระดับ 1 ล้านล้านเยน (ประมาณ 7 พันล้านเหรียญ) ภายในปี 2035

    “สำหรับผมมันมีความหมายมากกว่าตัวเลข” Uno กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ ณ สำนักงานใหญ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายใน Tokyo ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานี Meguro อันคึกคัก “ถ้าเรารักษาอัตราเติบโตที่ 10% [ต่อปี] เป้ารายได้ 1 ล้านล้านเยนก็ไม่ไกลเกินเอื้อม”



    ล่าสุดผลการดำเนินงาน U-NEXT ดูสอดคล้องกับแผนการที่วางไว้ บริษัทรายงานอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักสำหรับปีการเงินที่สิ้นสุด ณ เดือนสิงหาคม ปี 2024 โดยกวาดรายได้เพิ่มขึ้น 18% เป็น 3.268 แสนล้านเยน และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 40% เป็น 1.54 หมื่นล้านเยน

    U-NEXT กล่าวว่า บริษัทคาดหวังที่จะรักษาอัตราการเติบโตในระดับเดียวกันในปีนี้ โดยตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 3.6 แสนล้านเยน และกำไรสุทธิที่ 1.67 หมื่นล้านเยน

    นักลงทุนที่มีมุมมองเชิงบวกต่อบริษัทได้ผลักดันให้ราคาหุ้นของ U-NEXT พุ่งขึ้นเกือบ 40% ในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Uno เพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกันมาอยู่ที่ประมาณ 1.6 พันล้านเหรียญ และรั้งอันดับที่ 34 ในทำเนียบเศรษฐีของญี่ปุ่น

    U-NEXT ยังเป็นเจ้าของธุรกิจอื่นๆ ซึ่งแม้จะเป็นที่รู้จักน้อยกว่าแต่สามารถสร้างสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้กับบริษัทมากกว่าธุรกิจบันเทิง

    บริษัทประกอบธุรกิจหลากหลาย เช่น ระบบเสียงดนตรีตามสาย อุปกรณ์เครื่องชำระสินค้าหน้าร้าน บริการทางเทคโนโลยีสารสนเทศและคลาวด์ และให้บริการหุ่นยนต์แก่ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย โรงแรม และโรงพยาบาล ด้วยจำนวนราว 860,000 แห่งทั่วประเทศ

    นอกจากนี้ U-NEXT ยังให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และพลังงานสะอาดทั้งสำหรับภาคธุรกิจและครัวเรือน พร้อมทั้งขยายเข้าสู่ธุรกิจบริการรับชำระเงินและอสังหาริมทรัพย์เมื่อไม่นานมานี้

    นักวิเคราะห์ระบุว่า U-NEXT มีภูมิคุ้มกันต่อแรงกดดันจากปัจจัยลบในประเทศและทั่วโลก เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการสมัครสมาชิกหรือสัญญาระยะยาว “ประมาณ 80% ของรายได้ของบริษัทเป็นรายรับประจำที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยทั่วไปแล้วบริการลักษณะนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น” Naoto Takahashi นักวิเคราะห์จาก Aizawa Securities ระบุไว้ในรายงานสำหรับนักลงทุนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา


    ความทะเยอทะยานของ Uno ต่ออนาคตของ U-NEXT ไปไกลเกินกว่าตัวเลขผลประกอบการ เขาต้องการสร้างชื่อด้วยการปลุกปั้นบริษัทให้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งวงการธุรกิจญี่ปุ่น

    นับเป็นเส้นทางแห่งความผกผันนานกว่า 2 ทศวรรษสำหรับ Uno ตั้งแต่วันที่เขาก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อผู้ล่วงลับในปี 1998 ทั้งนี้ Mototada Uno ก่อตั้งบริษัทขึ้นเมื่อปี 1961 ใน Osaka เพื่อให้บริการดนตรีประกอบบรรยากาศผ่านสายส่งสัญญาณคุณภาพสูงสำหรับร้านค้าและร้านอาหาร Osaka Yusen Broadcasting ซึ่งเป็นชื่อของบริษัทในขณะนั้นได้ขยายเครือข่ายการให้บริการไปทั่วประเทศโดยครอบคลุมพื้นที่กว่า 80% ของญี่ปุ่น แต่ Uno กล่าวอย่างหนักแน่นว่า เขาไม่เคยปรารถนาที่จะก้าวเข้ามาร่วมงานในธุรกิจของครอบครัวแม้แต่น้อย

    “ไม่เด็ดขาด” เขาย้ำอย่างชัดเจน “พ่อของผมออกจะไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดตำแหน่งเช่นกัน โดยส่วนตัวผมตั้งใจที่จะริเริ่มธุรกิจและบริหารบริษัทของตัวเอง ตอนนั้นผมคิดว่า [Yasuhiko] พี่ชายของผมน่าจะเป็นคนมารับไม้ต่อมากกว่าหากมีการสืบทอดกิจการในครอบครัว”

    หลังจบการศึกษาด้านกฎหมายจาก Meiji Gakuin University เขาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยทำงานกับบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใน Tokyo ก่อนก้าวสู่บทบาทผู้ประกอบการอย่างเต็มตัวในปี 1989 ด้วยการร่วมก่อตั้งบริษัท Intelligence ธุรกิจให้บริการสรรหาบุคลากรและดำรงตำแหน่งซีอีโอ ทว่าเมื่อ Mototada ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างกะทันหันขณะอายุ 63 ปี เขากลับหันมาหาลูกชายคนเล็ก

    “พ่อของผมได้รับแจ้งว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 เดือน” Uno เล่าถึงอดีต “ผมคิดว่าพ่อคงมองว่าผมได้ลงมือก่อตั้งบริษัทและกำลังเตรียมตัวนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น น่าจะมีความพร้อมในฐานะผู้บริหาร”

    ทว่า Uno อยู่ห่างไกลจากคำว่าพร้อมต่อความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้าโดยสิ้นเชิง สายเคเบิลที่ใช้ในการส่งสัญญาณเสียงดนตรีมีการเดินสายพาดบนเสาไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทผู้ให้บริการด้านสาธารณูปโภค

    ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยังมีหนี้สะสมอีกกว่า 8 หมื่นล้านเยนโดยพ่อของเขาค้ำประกันหนี้เป็นการส่วนตัว Uno ใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการขออนุญาตใช้เสาไฟฟ้ากว่า 7 ล้านต้นทั่วประเทศอย่างเป็นทางการจากกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมของญี่ปุ่นในขณะนั้น พร้อมทั้งจ่ายค่าธรรมเนียมสะสมย้อนหลังจำนวน 5 หมื่นล้านเยน ขณะที่การชำระคืนหนี้กินเวลายาวนานกว่านั้น

    เมื่อจัดการปัญหาที่คั่งค้างได้เรียบร้อย Uno จึงหันมามุ่งเป้าขยายอาณาจักรความยิ่งใหญ่เพิ่มเติมจากบริการระบบเสียงดนตรีอันเป็นธุรกิจดั้งเดิม

    ในปี 2000 เขาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Yusen Broad Networks เพื่อสะท้อนทิศทางใหม่ขององค์กร นั่นคือการยกระดับโครงข่ายสายเคเบิลของบริษัทเพื่อเปิดตัวบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่ายใยแก้วนำแสงซึ่งบริษัทระบุว่า เป็นบริการไฟเบอร์ออปติกเชิงพาณิชย์รายแรกของโลก

    ในช่วงต้นเริ่มจากการให้บริการใน Tokyo ก่อนจะขยายจนครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศในเวลาต่อมา Uno มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าอินเทอร์เน็ตจะ “พลิกวิถีชีวิต” ไปอย่างสิ้นเชิง และการส่งสัญญาณวิดีโอจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญแห่งอนาคต

    “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับคุณ Uno ในช่วงต้นของยุคอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูในญี่ปุ่น เขามีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับศักยภาพแห่งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเชื่อมต่อข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาคาดว่าบริการสตรีมมิ่งจะเข้ามาปฏิวัติธุรกิจสื่อบันเทิง” Hiroshi Mikitani ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Rakuten บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์สัญชาติญี่ปุ่นกล่าวทางอีเมล “เขาเป็นผู้นำที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้ามากที่สุดคนหนึ่งที่ผมรู้จัก”

    Mikitani และ Uno ร่วมกันก่อตั้ง Showtime แพลตฟอร์มรับชมคอนเทนต์แบบเสียค่าบริการเมื่อปี 2001 ก่อนหน้าบริการสตรีมมิ่งวิดีโอออนไลน์จาก Netflix จะถือกำเนิดขึ้นถึง 6 ปี โดยนำเสนอภาพยนตร์ ละครซีรีส์ การ์ตูนอนิเมชั่นและรายการกีฬาต่างๆ (ในปี 2009 Rakuten ได้ซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% ของบริษัทจาก USEN ในราคา 1.8 พันล้านเยน ซึ่งในขณะนั้นมีจำนวนคอนเทนต์ประมาณ 60,000 เรื่อง และผู้ใช้งาน 1.1 ล้านบัญชี)

    Uno ทุ่มสุดตัวกับธุรกิจสตรีมมิ่ง ในปี 2005 เขาได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “USEN” พร้อมเปิดให้บริการ GyaO แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่สามารถใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (มีรายได้จากค่าโฆษณา) ซึ่งนำเสนอทั้งรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์จากในประเทศและต่างประเทศ

    หลังจากนั้น 2 ปีเขาเปิดตัว GyaO Next บริการสมาชิกแบบมีค่าใช้จ่ายก่อนจะกลายมาเป็น U-NEXT ในภายหลัง (GyaO ได้รับความสนใจจาก Yahoo! Japan ซึ่งในปี 2009 ได้ควักกระเป๋า 530 ล้านเยนเข้าซื้อหุ้น 51% ของบริษัทด้วยเป้าหมายที่จะสร้างแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น)

    USEN เริ่มสั่นคลอนท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤตการเงินโลก ผลการดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่สิ้นสุด ณ เดือนสิงหาคม ปี 2009 ของบริษัทมีตัวเลขขาดทุนสะสมกว่า 1.13 แสนล้านเยน สาเหตุหลักมาจากกลยุทธ์เชิงรุกด้วยการเข้าซื้อกิจการของ Uno ซึ่งรวมถึงบริษัท Intelligence และ BMB ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์คาราโอเกะและจัดจำหน่ายเพลงจนนำไปสู่การปรับลดมูลค่าของสินทรัพย์ ในปี 2010 บรรดาสถาบันการเงินเจ้าหนี้ของบริษัทไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ได้อีกต่อไปและกดดันจน Uno ก้าวลงจากตำแหน่ง

    Uno นำบริษัท Intelligence เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ JASDAQ ในปี 2000 โดยมีสถานภาพเป็นบริษัทลูกแห่งหนึ่งของ USEN ในปี 2009 แต่ในปีต่อมาจำเป็นต้องขายให้กับบริษัทไพรเวทอิควิตี้ KKR ด้วยมูลค่า 3.25 หมื่นล้านเยน ตามข้อมูลจากหนังสือ An Entrepreneur’s Courage: The Rise and Fall of Yasuhide Uno’s Ventures ของ Hiroshi Kodama ที่ตีพิมพ์ในปี 2020 ระบุว่า เขาต้องเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากธนาคารในการชำระคืนสินเชื่อ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ พร้อมทั้งการเรียกร้องให้ยุติบทบาทผู้บริหาร

    Uno ยอมรับในการให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า เขาดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อรับมือปัญหาหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้สืบทอดธุรกิจ แต่ปัจจุบันเขากล่าวว่า ความตรงไปตรงมาของเขาได้รับการชื่นชม ณ เวลาที่ Uno ก้าวลงจากเก้าอี้ซีอีโอของ USEN เขาปิดดีลเจรจากับบริษัทเพื่อเข้าซื้อธุรกิจบริการสตรีมมิ่งแบบสมัครสมาชิกและอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนด้วยมูลค่า 10 ล้านเยน โดยนำธุรกิจทั้ง 2 แห่งนี้เข้ามาอยู่ภายใต้ U-NEXT ซึ่งเป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจาก USEN

    โชคดีที่จังหวะเข้าข้าง Uno ในช่วงเวลานั้น เมื่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ช่วงขยายตัวทั้งสองธุรกิจก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในปี 2014 บริษัทเริ่มมีเสถียรภาพมากพอจนเขาสามารถนำ U-NEXT เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Tokyo ได้สำเร็จ โดยเข้าซื้อขายในหมวดธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพการเติบโตสูงหรือ Mothers

    ในปี 2017 Uno เดินหมากควบรวมกิจการอันซับซ้อนเพื่อกลับมาทวงบัลลังก์ผู้กุมบังเหียน USEN และตำแหน่งซีอีโอของบริษัท เขาใช้ประโยชน์จากอำนาจการถือครองหุ้นเกือบ 2 ใน 3 ของ U-NEXT และสัดส่วนหุ้นประมาณ 30% ใน USEN ที่เขามีอยู่เดิม จากกลยุทธ์ดังกล่าว Uno จบลงด้วยการถือครองหุ้นประมาณ 70% ของบริษัทที่ควบรวมกันในชื่อ USEN-NEXT HOLDINGS ก่อนเปลี่ยนเป็น U-NEXT HOLDINGS เมื่อปีที่ผ่านมา (ปัจจุบัน Uno ถือหุ้นน้อยกว่า 60%)

    Uno เชื่อว่าตลาดสตรีมมิ่งของญี่ปุ่นซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการปิดเมืองช่วงโควิด-19 ระบาดกำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงเติบโตอีกระลอก GEM Partners คาดการณ์ว่า ตลาดจะขยายตัวมากกว่า 50% จนมีมูลค่าแง่รายได้ใกล้แตะ 7.9 แสนล้านเยนภายในปี 2029 จาก 5.26 แสนล้านเยนเมื่อปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดสหรัฐฯ



    Uno มองว่าตลาดยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ตามข้อมูลของ GEM มีประชากรชาวญี่ปุ่นเพียง 40% เท่านั้นที่สมัครใช้บริการสตรีมมิ่งแบบจ่ายเงิน และอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8 รายต่อครัวเรือนในรายงาน Digital Media Trends เดือนมีนาคม ปี 2025 โดย Deloitte ระบุว่า ชาวอเมริกันประมาณ 90% ใช้บริการสตรีมมิ่งแบบมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1 แพลตฟอร์ม และมีอัตราเฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 4 ราย

    ขณะที่เขายอมรับว่าผู้ชมชาวญี่ปุ่นคุ้นชินกับการรับชมคอนเทนต์แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ Uno ยังเชื่อมั่นว่าตลาดมีศักยภาพที่จะเติบโตจนมีสัดส่วน 60% ของจำนวนประชากร U-NEXT ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิกเป็น 10 ล้านรายภายในทศวรรษข้างหน้า ซึ่งตัวเลขเทียบเคียงกับฐานสมาชิกของ Netflix ที่ญี่ปุ่นในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตามความได้เปรียบทางการแข่งขันเชิงราคาของคู่แข่งรายใหญ่จากสหรัฐฯ ถือเป็นปัญหาท้าทาย ค่าบริการรายเดือนของ U-NEXT อยู่ที่ 2,189 เยนสำหรับการรับชมแบบไม่จำกัด ซึ่งสูงกว่าอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับแพ็กเกจมาตรฐานแบบไม่มีโฆษณาของ Netflix ที่ 1,590 เยน และมากกว่าเท่าตัวจากแพ็กเกจราคาประหยัดแบบมีโฆษณาคั่นในการรับชมซึ่งสนนค่าบริการอยู่ที่ 890 เยน

    “แม้ราคาจะสูง แต่ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงรายการที่เพิ่งเข้าใหม่... รวมถึงคอนเทนต์ประเภทอื่นอย่างการ์ตูนมังงะ” Aya Umezu ซีอีโอของ GEM กล่าว “ขณะที่การแซงหน้า Netflix อาจเป็นเรื่องยากเมื่อประเมินจากจำนวนผู้ใช้งาน แต่ในแง่รายได้ถือว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากมีการเก็บค่าบริการรายเดือนในอัตราที่สูงกว่า”

    เธอเสริมว่า U-NEXT ยังมีปริมาณคอนเทนต์ที่ “มากมายมหาศาล” ในปีที่ผ่านมา U-NEXT เซ็นสัญญากับ Warner Bros. Discovery สำหรับสิทธิ์ในการสตรีมผลงานภายใต้แพลตฟอร์ม Max อย่างเช่น Discovery Channel, Animal Planet และ HBO

    Uno ยอมรับว่าเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนสมาชิกให้ถึง 10 ล้านรายอาจเป็นเรื่องยาก ถ้าพึ่งพาเพียงการเติบโตด้วยกำลังของบริษัทในปัจจุบัน “ในตลาดที่มีการแข่งขันดุเดือดและอุตสาหกรรมที่เราดำเนินธุรกิจ บริษัทที่ไม่สามารถอยู่รอดได้จะถูกควบรวมกับรายอื่น และเริ่มเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว” เขากล่าว

    ในปี 2023 Uno ได้ทำข้อตกลงครั้งใหญ่กับบริษัทท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งช่วยเสริมคอนเทนต์ญี่ปุ่นในคลังของ U-NEXT อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยให้บริษัทมีโอกาสต่อกรกับยักษ์ใหญ่ด้านสตรีมมิ่งมากขึ้น

    ข้อตกลงแลกเปลี่ยนหุ้นกับ Premium Platform Japan (มีสถานีโทรทัศน์ TBS, TV Tokyo และบริษัทอื่นๆ เป็นผู้ถือหุ้น) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแบบบอกรับสมาชิกชื่อ Paravi ทำให้ U-NEXT มีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้น พร้อมได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงคอนเทนต์กว่า 19,000 รายการ ซึ่งรวมถึงละครและรายการย้อนหลังจากสถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่น Uno แย้มว่า ในอนาคตอาจมีดีลลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

    นอกจากบริการสตรีมมิ่งแล้ว U-NEXT ยังมีแผนขยายธุรกิจอื่นๆ โดยอาศัยทีมขายราว 2,000 คน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคอีก 1,000 คน เพื่อขยายโอกาสในการขายสินค้าและบริการเพิ่มเติมและเจาะกลุ่มตลาดที่ยังเข้าไม่ถึง

    นอกจากนี้ Uno ยังตั้งเป้าขยายธุรกิจไปต่างประเทศ แต่ดำเนินการอย่างระมัดระวัง สำหรับธุรกิจสตรีมมิ่งความร่วมมือกับ Warner Bros. ได้ขยายความครอบคลุมมากขึ้น โดยให้สิทธิ์บริษัทอเมริกันเผยแพร่คอนเทนต์ญี่ปุ่นของ U-NEXT ในทั่วโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา U-NEXT จัดตั้งบริษัทลูกขึ้นในมาเลเซียเพื่อพัฒนาและให้สิทธิ์แฟรนไชส์ร้านอาหารเสมือนจริง (ไม่มีหน้าร้านสำหรับคนมารับประทาน) ที่ผ่านการรับรองฮาลาล U-NEXT เริ่มรุกเข้าสู่ธุรกิจอาหารด้วยการเข้าซื้อกิจการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ WannaEat ในปี 2022 ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อว่า Virtual Restaurant โดยไม่เปิดเผยมูลค่าดีล “ผมรู้ดีว่าการก้าวสู่ตลาดต่างแดนไม่ใช่เรื่องง่าย” เขากล่าว


เรื่อง: JAmes Simms
เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา
ภาพ: Shunichi oda



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Adam Waheed สายฮาพารวย

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine