Taichiro Motoe ทนายความมหาเศรษฐีพันล้านคนใหม่แห่งยุคโควิด-19 จากธุรกิจบริการ e-Signature - Forbes Thailand

Taichiro Motoe ทนายความมหาเศรษฐีพันล้านคนใหม่แห่งยุคโควิด-19 จากธุรกิจบริการ e-Signature

Taichiro Motoe ผู้ก่อตั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว Bengo4 สร้างมูลค่าสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ อันเป็นผลพวงมาจากการ Work from Home บริการตราประทับออนไลน์ หรือบริการ e-Signature ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของเขามีมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กระทบทุกมิติของชีวิต ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม วิถีชีวิตรูปแบบเก่าล้วนถูกปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับสภาวะแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างดีเยี่ยมในช่วงที่ผ่านมา คือ ธุรกิจบริการลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature Service) หรือ “CloudSign” ของกลุ่มบริษัท bengo4.com ประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลายาวนานกว่าพันปีที่ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้ตราประทับชื่อที่เรียกว่า “ฮังโกะ” (Hanko) แทนการเซ็นชื่อด้วยลายมือในการทำธุรกรรมและเอกสารต่างๆ จนอาจกล่าวได้ว่า ทุกคนจะต้องมีตราประทับนี้อย่างน้อยหนึ่งอัน  ซึ่งตราประทับแต่ละอันก็มีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป e-Signature อย่างไรก็ดี การเว้นระยะห่างทางกายภาพในช่วงโรคระบาด เป็นเหตุให้ผู้คนต้องทำงานที่บ้าน บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากจึงเปลี่ยนมาใช้ e-signature แทนการใช้ฮังโกะในการประทับตรารับรองในเอกสารต่างๆ “CloudSign กำลังเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการใช้ฮังโกะที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18” Motoe กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศครั้งแรก เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2020 ปัจจุบัน CloudSign เป็นธุรกิจบริการ e-Signature ที่ครองส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ  80 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะกว่า 100,000 บริษัทในทุกอุตสาหกรรมกำลังใช้บริการนี้อยู่ “มูลค่าหุ้นของ Bengo4 พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความพยายามของภาครัฐที่สนับสนุนให้เลิกใช้ฮังโกะ เพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19” อ้างอิงจากงานวิจัยฉบับย่อของนักวิเคราะห์ Haruka Mori จาก JPMorgan เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ทั้งนี้ Mori ยังบันทึกเพิ่มเติมอีกว่า “นี่นับเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทางโครงสร้างกฎหมาย เพื่อรองรับการทำสัญญาทางออนไลน์” Bengo4 เป็นการเล่นคำพ้องเสียงในภาษาญี่ปุ่นของคำว่า “นักกฎหมาย” ซึ่งออกเสียงว่า bengoshi เป็นบริษัทที่เติบโตมาจากการให้บริการการปรึกษาทางกฎหมายออนไลน์จากทีมทนายความ แล้วจึงเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ Tokyo Stock Exchange ด้วยทุนจดทะเบียนขนาดเล็ก (small cap market) ในปี 2014 ก่อนที่จะออกบริการ CloudSign ในปีถัดไป เพื่อที่จะสร้างมูลค่าการเติบโตให้กับบริษัท e-Signature มหาเศรษฐีคนล่าสุด Taichiro Motoe เกิดที่รัฐ Illinois สหรัฐฯ และเติบโตที่เมือง Kanagawa ประเทศญี่ปุ่น เขาเป็นทนายความที่ปรึกษาด้านธุรกิจให้กับบริษัทที่ปรึกษากฎหมายแนวหน้าของญี่ปุ่นชื่อ Anderson Mori เป็นระยะเวลา 3 ปี ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษากฎหมายของตนเอง ภายใต้ชื่อ Authense Law Office และก่อตั้ง Bengo4 ขึ้นในปีเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น Motoe ในวัย 44 ปี ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาบนในรัฐสภาญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2016 จวบจนปัจจุบัน และยังเคยได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่างกฎหมายที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในประเทศในปี 2019 โดยมีทรัพย์สินสุทธิ 845 ล้านเยน (ประมาณ 7.8 ล้านเหรีญสหรัฐ) ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากมูลค่าการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และล่าสุดในเดือนกันยายน 2020 ที่ผ่านมา Motoe ได้เข้ารับตำแหน่งรองรัฐมนตรีการคลังในรัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรี Yoshihide Suga ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2020 ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่า การใช้ e-Signature จะมีผลบังคับใช้ยืนยันตัวตนเจ้าของได้ ก็ต่อเมื่อบริษัทผู้ให้บริการสามารถสร้าง e-Signature โดยใช้เทคโนโลยี Public Key Infrastructure ซึ่งใช้หลักการเข้ารหัส/ถอดรหัส (Encryption) ก่อนการลงลายเซ็นทางออนไลน์ทุกครั้ง และ e-Signature นั้นห้ามมีการเปลี่ยนแปลง อ้างอิงจากรายงานของบริษัทที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ Clifford Chance ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลญี่ปุ่นชุดปัจจุบันมีแผนที่จะขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคดิจิตอล ซึ่งล่าสุดในเดือนกันยายน 2020 นายกรัฐมนตรี Suga ได้มีคำสั่งให้คณะรัฐมนตรีเร่งการเปิดตัวหน่วยงานรัฐบาล เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลักดันด้านเทคโนโลยีให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของ Bengo4 เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนที่รัฐบาลจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (state of emergency) เสียอีก เพราะยอดขายหุ้นประจำไตรมาสที่ 2  นั้นเพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับปี 2019 ในช่วงเดียวกัน ซึ่งการเติบโตนี้เป็นเพราะการเติบโตของธุรกิจ  CloudSign  ที่เพิ่มสูงกว่าไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้วมากกว่า 2 เท่าตัว ถึง 262 ล้านเยน Bengo4 คาดการณ์ว่า ยอดขายหุ้นของธุรกิจ CloudSign ในไตรมาสหน้าจะต้องเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า ซึ่งก็คือ 500 ล้านเยน “เราจะต้องเพิ่มการเติบโตของ Bengo4 ไปสู่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐในอีก 4-5 ปีข้างหน้า” Motoe กล่าว CloudSign ยังมีพื้นที่สำหรับการเติบโตอยู่มาก Motoe ประมาณการว่า มีธุรกิจเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของโลกที่กำลังใช้ e-signature และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นไปที่ร้อยละ 5 ในปี 2021 “ในปัจจุบันเริ่มมีมาตรการผ่อนปรนด้านกฎระเบียบข้อบังคับในภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการเงิน และในสาขาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทางธุรกิจแล้ว” Mori กล่าวกับ JPMorgan ล่าสุด ในเดือนกรกฎาคม บริษัทอินเตอร์เน็ตประเทศญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ Digital Garage ประกาศว่าจะทำการติดตั้งระบบ CloudSign ในระบบการจัดการส่วนกลางทางออนไลน์ของสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota และ Nomura ก็เริ่มทำสัญญากับทาง Bengo4 แล้วเช่นกัน e-Signature ความคิดริเริ่มในการทำธุรกิจที่มีมูลค่าล้านเหรียญสหรัฐนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะ Motoe รู้สึกเบื่อหน่ายกับวัฒนธรรม “ฮังโกะ” ขณะทำงานเป็นทนายความ   “ผมต้องคอยประทับตราลงบนกองหนังสือสัญญาขนาดใหญ่ทีละแผ่นๆ จนรู้สึกว่าเวลาที่เสียไปนั้นไม่มีประสิทธิภาพในทางธุรกิจ” ซึ่งต่อมาภายหลัง เขาได้พบว่าการใช้ e-Signature กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ และเชื่อว่าธุรกิจนี้จะต้องกลายเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นสักวันหนึ่ง “คาดการณ์ เตรียมพร้อม และรอ” คือ คำกล่าวที่ Motoe ยกมาจากคำพูดของเพื่อนมหาเศรษฐีอย่าง Masayoshi Son ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท SoftBank และเป็นคนที่รวยที่สุดอันดับที่ 2 ในญี่ปุ่น ปัจจุบัน ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจบริการ e-Signature ทำให้ Motoe ได้วางแผนการขนาดใหญ่ให้กับ Bengo4 ต่อไปในอนาคต กล่าวคือ “ผมต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ผมต้องการเป็นผู้นำในด้านการให้บริการผู้เชี่ยวชาญ และต้องการให้คนสามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญได้อย่างง่ายดายเหมือนกับในทุกวันนี้ที่ธุรกิจบริการ e-signature อย่าง CloudSign กำลังเปลี่ยนแปลงระบบและวิถีการทำงานแบบเดิม" Motoe ได้กล่าวทิ้งท้ายอีกด้วยว่า “ในโลกปัจจุบัน คนบางคนอาจมีความรู้มากกว่าคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ในประเด็นที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายและภาษี เพราะฉะนั้นแล้ว หากคุณรู้จักใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญที่คุณมีให้เป็นประโยชน์บนโลกอินเตอร์เน็ต ในท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีอย่างแน่นอน” แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Japanese Lawmaker Becomes Billionaire By Selling E-Signature Services Amid Work-From-Home Revolution เผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: Kumagai ติดสปีดสู่มหาเศรษฐีพันล้าน หลังการใช้งานอินเตอร์เน็ตพุ่ง
ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine และ ทวิตเตอร์ Forbes Thailand