Robert & Philip Ng 1 ใน 5 มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้จับอะไรเป็นทอง - Forbes Thailand

Robert & Philip Ng 1 ใน 5 มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้จับอะไรเป็นทอง

FORBES THAILAND / ADMIN
21 Dec 2015 | 04:41 PM
READ 2853

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาทั้งในสิงคโปร์และฮ่องกงรวมทั้งค่าเงินที่อ่อนตัวฉุดความร่ำรวยของคู่พี่น้องเศรษฐีแดนลอดช่อง Robert และ Philip Ng และทำให้รายได้รวมของสองบริษัท คือ Sino Group และ Far East Organization (FEO) ที่พวกเขาเป็นเจ้าของลดลงเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 4.6 พันล้านเหรียญนับตั้งแต่ปี 2012 ขณะที่ทรัพย์สินรวมของทั้งคู่มีมูลค่าตกฮวบถึงกว่า 4 พันล้านเหรียญแต่ทั้งคู่ยังรักษาตำแหน่งคนที่รวยที่สุดอันดับ 1 ในสิงคโปร์ได้เป็นปีที่ 6 ในช่วงขาลงของอสังหาริมทรัพย์ทั้งในฮ่องกงและสิงคโปร์

จากนโยบายรัฐที่ออกมาตรการแตะเบรกความร้อนแรงของตลาด พี่น้องตระกูล Ng หันไปลงทุนในออสเตรเลียแทน โดยในปี 2013-2014 พวกเขาทุ่มเงินลงทุนในแดนจิงโจ้รวมกว่า 1 พันล้านเหรียญแล้วในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 ปี ทั้งในเมือง Sydney เมือง Perth และ Scotland เกาะเล็กๆ ทางแถบ Gold Coast ที่อยู่ทางตอนเหนือของ Sydney แต่ที่สุดแล้วทั้งคู่ก็กอดคอกันกลับมาลงทุนที่บ้านเกิดในปีนี้ โดย Far East Organization (FEO) บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของสิงคโปร์ที่ Philip Ng ผู้น้องเป็นผู้กุมบังเหียน เตรียมลงทุน 328 ล้านเหรียญ ซื้อโรงแรมใหม่ 2 แห่ง และพื้นที่อนุรักษ์บนเกาะ Sentosa ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายทหารเก่า เพื่อพัฒนาโรงแรมอีก 850 ห้อง อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาอยู่ในบริษัท Tsim Sha Tsui Properties Limited ที่ฮ่องกง ซึ่ง Robert Ng ผู้พี่นั่งเป็นประธานบริษัท เป็นโครงการที่ Ng Teng Fong ผู้เป็นพ่อได้พัฒนาไว้ตั้งแต่ปี 1972 ประกอบด้วยโรงแรม ศูนย์การค้า โรงงาน และคอนโดมิเนียมรวมกว่า 750 แห่งทั้งในสิงคโปร์และฮ่องกง โดยทรัพย์สินภายใต้ Tsim Sha Tsui Properties Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Sino Group รวมมูลค่ากว่า 1.84 หมื่นล้านเหรียญ เทียบกับทรัพย์สินรวมของ FEO ทั้งกรุ๊ปที่ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ Ng Teng Fong พ่อของพวกเขา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง FEO และ Sino Group อพยพตามพ่อแม่พี่น้องมาจากเมือง Putian ในจังหวัด Fujian ประเทศจีนช่วงทศวรรษที่1930 ในวัยเพียง 6 ขวบ มาตั้งรกรากที่สิงคโปร์ ทางครอบครัวได้ก่อตั้งธุรกิจซอสถั่วเหลืองและร้านค้าปลีก แต่พ่อของเขาก็ไม่ได้สานต่อธุรกิจครอบครัวและหันมาทำธุรกิจของตัวเอง โดยก่อตั้ง FEO ในปี 1960 และพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นโครงการแรก ก่อนขยายสู่ธุรกิจโรงแรมในปี 1969 จากการซื้อหุ้นใน Singapore Hilton Hotel และทำศูนย์การค้า Far East Shopping Center ในปี 1974 ปัจจุบัน FEO มีบริษัทลูก 185 บริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 3 บริษัท ได้แก่ Far East Orchard Limited, Far East Hospitality Trust ซึ่งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และ Yeo Hiap Seng (Singapore) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่เทกโอเวอร์มา โดยพ่อเขาได้รับฉายาว่า King of Orchard Road เพราะเป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาบนถนนช็อปปิ้งชื่อดังเส้นนี้ด้วยศูนย์การค้าใหญ่ 9 แห่ง และถือหุ้นอีกหลายโรงแรมที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้ ในปี 1970 พ่อเขาได้ขยายอาณาจักรไปยังฮ่องกง โดยก่อตั้ง Sino Group และนำบริษัทลูก ได้แก่ Tsim Sha Tsui Properties Limited บริษัท Sino Land ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และ Sino Hotels (Holdings) ที่ดูแลธุรกิจโรงแรม ทยอยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในปี 1972, 1981 และ 1994 ตามลำดับ โดยในปี 2014 ทั้ง Sino Group และ FEO มีรายได้รวม 5.5 พันล้านเหรียญ และมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า4.5 หมื่นล้านเหรียญ
คลิ๊กอ่าน "Lee Shau-Kee 1 ใน 5 มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้จับอะไรเป็นทอง" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2015