Manoj Punjabi เศรษฐีอินโดฯ ผู้ซื้อช่องทีวีขาดทุนเพื่อสร้างช่องที่เติบโต - Forbes Thailand

Manoj Punjabi เศรษฐีอินโดฯ ผู้ซื้อช่องทีวีขาดทุนเพื่อสร้างช่องที่เติบโต

FORBES THAILAND / ADMIN
05 May 2025 | 09:17 AM
READ 189

Manoj Punjabi เศรษฐีพันล้านนักสร้างภาพยนตร์ชาวอินโดนีเซีย ดูมีท่าทีที่ไม่ค่อยแจ่มใสนักกับการเข้าซื้อกิจการครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นช่องฟรีทีวีของท้องถิ่นที่มีส่วนแบ่งตลาดคนดูเพียง 1.4% และขาดทุนมายาวนาน


    เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานสุดหรูของเขาใน Jakarta ประธานกรรมการบริษัท MD Entertainment กล่าวระหว่างการสัมภาษณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเซ็นสัญญาเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทแม่ของสถานีโทรทัศน์ดังว่า “พูดตามตรงเลยนะว่า ผมกำลังซื้อเรือที่กำลังจะล่ม” เหตุเพราะพฤติกรรมผู้ชมทั่วโลกที่เปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix เขาเคยคิดว่าธุรกิจประเภทฟรีทีวีกำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” และที่แย่ไปกว่านั้น กิจการที่เขาเข้าซื้อนั้นก็ยังถือเป็นหนึ่งในช่องที่อ่อนแอที่สุดของวงการโทรทัศน์ในอินโดนีเซีย

    แต่นักบริหารวัย 52 ปีผู้นี้ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใดกับการตัดสินใจใช้เงิน 1.65 ล้านล้านรูเปียห์ (105 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เพื่อซื้อหุ้น 80% ของบริษัท Net Visi Media (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น MDTV Media Technologies) ใน Jakarta ซึ่งบริหารช่อง NET. TV ผ่านบริษัทลูก เขากล่าวว่า “หากผมสามารถฟื้นมันกลับขึ้นมาได้ก็จะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง”

    Punjabi รู้ดีถึงวิธีที่จะสร้างความพึงพอใจให้ผู้ชมในวงการบันเทิงอินโดนีเซีย ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง KKN di Desa Penari (KKN Curse of the Dancing Village) ที่เขาสร้างและออกฉายในปี 2022 นั้นสร้างสถิติผู้เข้าชมสูงสุดในอินโดนีเซียด้วยจำนวนผู้เข้าชมในโรงภาพยนตร์สูงถึง 10 ล้านคน ซึ่งเป็นรายได้สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา จนสามารถฟื้นรายได้ของธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการช่วงโควิด-19

    แผนการของเขานั้นเรียบง่าย MD Entertainment มีคลังคอนเทนต์ของตัวเองถึงกว่า 14,000 ชั่วโมง และการเข้าซื้อ NET. ทำให้เขามีแพลตฟอร์มช่วยกระจายคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น สามารถเข้าถึงผู้ชมชาวอินโดนีเซียได้เกือบ 100 ล้านคนที่ยังรับชมช่องฟรีทีวีตามข้อมูลของ Nielsen Media Indonesia ในประเทศที่มีหมู่เกาะกว่า 17,000 เกาะระบุว่า หลายพื้นที่ไม่มีโรงภาพยนตร์หรืออินเทอร์เน็ต แต่ยังสามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ได้

    การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทในด้านการสร้างคอนเทนต์ โดยเป็นการเพิ่มอีกช่องทางหนึ่งในการผลิตผลงาน ซึ่งจะนำไปรวมเข้ากับรายการที่สร้างมาป้อนให้กับโรงภาพยนตร์ ช่องดิจิทัลทีวี และบริการสตรีมมิ่งแบบ Over-The-Top (OTT)

    ในมุมมองของ Punjabi ช่อง NET. นั้นนับว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมก็ว่าได้ “ตอนนี้รายได้จากทีวีนี้ยังไม่มาก แต่รายการทีวีน่าจะทำรายได้ประมาณ 50-70% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนรายได้จากภาพยนตร์เป็นในส่วนที่เหลือ นี่ไม่ได้หมายความว่า รายได้จากโรงภาพยนตร์จะลดลง แต่ทีวีได้เริ่มทำเงินแล้ว นั่นคือแผนการของผม” เขากล่าว

    ช่องฟรีทีวีในอินโดนีเซียมีรายได้จากโฆษณา โดยส่วนใหญ่มาจากผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น แชมพู น้ำอัดลม และขนมขบเคี้ยว ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้าง ในปี 2023 รายได้รวมจากโฆษณาของสถานีโทรทัศน์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอินโดนีเซียแห่งนี้อยู่ที่ประมาณ 15 ล้านล้านรูเปียห์ (1 พันล้านเหรียญ)

    และสำหรับ MD Entertainment ตลาดนี้แทบจะยังไม่ถูกแตะต้องเลยจนถึงตอนนี้ “(NET.) คือก้าวสำคัญของผมสู่จักรวาลธุรกิจขนาดใหญ่ที่ผมกำลังสร้างให้ MD” Punjabi กล่าว และต่อจากนี้จะมีงานอีกมากที่จะทำให้กลยุทธ์ของเขากลายเป็นจริง ในขณะเดียวกันเขายังจะต้องรับมือกับคู่แข่งรายใหม่ รวมถึงศัตรูทางธุรกิจที่มีมานานซึ่งกำลังเสริมความแข็งแกร่งด้วยการมีพันธมิตรที่มีเงินทุนหนา


    MD Entertainment เริ่มต้นจากการผลิตละครซึ่งกลายเป็นคอนเทนต์หลักของทีวีอินโดนีเซียแห่งนี้ โดยขายซีรี่ส์แรกให้กับช่อง Indosiar ในปี 2003 และ 4 ปีต่อมาบริษัทได้ขยายไปสู่การสร้างภาพยนตร์ด้วยการเปิดตัวหนังระทึกขวัญเรื่อง Kala (Dead Time) แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จนัก ดึงดูดผู้ชมได้เพียง 70,000 คน

    จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 2008 เมื่อ MD Entertainment ปล่อยภาพยนตร์เรื่อง Ayat-Ayat Cinta (Verses of Love) ซึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคน ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ถล่มทลายด้วยจำนวนผู้ชม 3.7 ล้านคน แซงหน้าจำนวนผู้ที่เคยดูภาพยนตร์ฮอลลีวูดระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง Titanic ในอินโดนีเซีย ที่สำคัญมันเป็นข้อพิสูจน์สำหรับ Punjabi ว่า ภาพยนตร์อินโดนีเซียสามารถแข่งขันกับหนังดังระดับโลกได้หากมีเนื้อเรื่องที่ดีและการผลิตที่มีคุณภาพ

    การแข่งขันในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ย่อมทวีความรุนแรงขึ้น ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาบริษัท Media Nusantara Citra (MNC) ของ Hary Tanoesoedibjo เศรษฐีพันล้านวงการสื่อ (ซึ่งเป็นเจ้าของ MNC TV หนึ่งในสถานีฟรีทีวีที่มีผู้ชมมากที่สุด) ได้เข้าซื้อหุ้น 9% ใน MVP กลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทของลุงของ Punjabi บริษัทสื่อที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในประเทศ

    นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม Verona Indah Pictures คู่แข่งในตลาดได้ระดมทุนอีก 340 พันล้านรูเปียห์ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) ทำให้มีเงินทุนจำนวนมากสำหรับขยายการผลิตเนื้อหารายการโทรทัศน์ อีกทั้งยังเปิดหน่วยธุรกิจที่จะผลิตภาพยนตร์ของตัวเองด้วย

    แม้ว่าจะมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่ Punjabi ยังคงได้รับความเชื่อมั่นจาก Miming Satyono ประธานบริษัทด้านการลงทุน Samuel International ซึ่งสนับสนุนเงินทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการของ Net Visi Media และปัจจุบันถือหุ้น 1.7% ใน MD Entertainment เธอกล่าวว่า “Panjabi เป็นคนที่มีใจรักในงานและความมุ่งมั่นสูงมาก ฉันร่วมงานกับเขาเพราะเห็นว่าเขาบริหารกิจการได้ดี และเขาไม่ใช่นักลงทุนประเภทที่เข้ามาแล้วก็ไป” Farras Farhan นักวิเคราะห์จาก Samuel Sekuritas Indonesia คาดการณ์ว่า MD Entertainment จะสามารถเพิ่มรายได้จาก 490 พันล้านรูเปียห์ในปี 2024 เป็น 990 พันล้านรูเปียห์ในปี 2025 โดยมองว่าการเข้าซื้อกิจการ Net Visi Media เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ MD Entertainment รุกเข้าสู่ธุรกิจสตรีมมิ่งแบบ OTT ที่ผลกำไรงาม

    นอกจากนี้ Punjabi ยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งช่วยผลักดันเป้าหมายของเขา Tencent Holdings บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากจีนเข้าซื้อหุ้นเกือบ 15% ใน MD Entertainment ในปี 2021 ซึ่งเป็น 3 ปีหลังจากที่บริษัทกลายเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์รายแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียในปี 2018 (ปัจจุบัน Tencent ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 11.5%) ขณะที่สัดส่วนของหุ้นในบริษัทที่ Punjabi ถือครองอยู่นั้นก็ถือเป็นแหล่งรายได้หลักที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเขาซึ่งมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญ ทำให้เขาติดทำเนียบ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอินโดนีเซียประจำปี 2024 อันดับที่ 34

    หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ Punjabi สำหรับบริษัท MDTV Media Technologies ซึ่งเป็นชื่อที่รีแบรนด์ใหม่คือการปรับปรุงผลประกอบการของบริษัท ในปี 2023 MDTV ขาดทุนสุทธิ 630 พันล้านรูเปียห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการขาดทุน 181 พันล้านรูเปียห์ของปีก่อนหน้า

    Ezaridho Ibnutama หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์จาก NH Korindo Sekuritas Indonesia ให้ความเห็นผ่านข้อความว่า หลังจาก NET. มีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานให้รุกคืบมากขึ้น รายได้ของ MD Entertainment ในปี 2026 ควรจะเติบโตใกล้เคียงตัวเลข 2 หลักแล้ว เขามองว่า การนำคอนเทนต์ของ MD มาฉายทาง NET. จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถดึงดูดผู้ชมมากขึ้น และเพิ่มรายได้จากโฆษณา “เพราะคอนเทนต์จาก MD นั้นถูกออกแบบมาให้ถูกกับรสนิยมของผู้ชมชาวอินโดนีเซีย”

    “มันมีคำพูดที่บอกไว้ว่า คอนเทนต์คือราชา” Punjabi กล่าว “แต่คอนเทนต์จะเป็นราชาไปเพื่ออะไร ถ้าเราไม่มีอาณาจักรเป็นของตัวเอง ตอนนี้ผมมีอาณาจักรของตัวเองแล้ว”



เรื่อง: Gloria Haraito เรียบเรียง: จารุณี แตมสำราญ ภาพ: Ully Zoelkarnain



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : AWS และภารกิจลงทุน ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์’ ขุมพลังสะอาดแห่งอนาคต

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine