Kim Beom-su ผู้ก่อตั้งและประธาน Kakao ยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของเกาหลีใต้ ก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศ หลังหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่าในปีนี้
ณ วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2021 หุ้น
Kakao ปรับตัวสูงขึ้นราวร้อยละ 110 ในปี 2021 ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ
Kim Beom-su เพิ่มสูงขึ้น 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมเป็น 1.62 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ามหาเศรษฐีอันดับ 2 ของประเทศอย่าง
Seo Jung-jin ผู้ร่วมก่อตั้ง Celltrion อยู่ 3 พันล้านเหรียญ
Kim วัย 55 ปี เติบโตในย่านที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงโซล ในครอบครัวที่พ่อประกอบอาชีพเป็นพนักงานโรงงานปากกา และแม่เป็นแม่บ้านในโรงแรมที่จบการศึกษาระดับประถม โดยขณะที่พ่อแม่ออกไปทำงาน เขาและพี่น้องอีก 4 คนมักจะได้รับการเลี้ยงดูโดยคุณยายในอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอน
ในช่วงระดับมหาวิทยาลัย Kim เริ่มสร้างรายได้ด้วยการสอนพิเศษแบบตัวต่อตัวเพื่อหาเงินจ่ายค่าเล่าเรียน แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องอดอาหารเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Kim ได้ลงนามใน
The Giving Pledge ซึ่งเป็นแคมเปญที่เปิดตัวในปี 2010 โดย Bill Gates, Melinda Gates และ Warren Buffett ที่ส่งเสริมให้อภิมหาเศรษฐีทั่วโลกร่วมลงชื่อบริจาคทรัพย์สินของตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งให้แก่การกุศล
ก่อนเริ่มต้น Kakao ในปี 2010 ธุรกิจแรกของ Kim คือ Hangame บริษัทพัฒนาเกมออนไลน์ ซึ่งภายหลังควบรวมกิจการเข้ากับธุรกิจเสิร์ชเอนจิน ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อ Naver ยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตอีกรายของเกาหลี
โดย Kim เปิดตัว Hangame หลังจากสะสมประสบการณ์เป็นระยะเวลา 5 ปีในแผนกไอทีของ Samsung จนกระทั่งเกิดวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมจึงตัดสินใจลาออก
ปัจจุบัน Kakao เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ควบคู่ไปกับกลุ่มบริษัทอื่นๆ อาทิเช่น Samsung, Hyundai, SK และ LG ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือหลายอย่างและหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทถูกถือครองโดยคนในครอบครัว หรือที่รู้จักกันในชื่อ chaebol
"การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้เร่งการขยายตัวของ Kakao เนื่องจากความต้องการบริการออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว” Rajiv Biswas หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจากบริษัทวิจัย IHS Markit กล่าว
Biswas ได้เสริมอีกว่า ในความเป็นจริงธุรกิจของ Kakao มีผลประกอบการที่ดีตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากบริการแมสเซ็นเจอร์บนมือถือ และขยายไปสู่การควบรวมและซื้อกิจการบริษัทอื่นอีก 100 แห่ง
“บริการส่งข้อความ KakaoTalk มีผู้ใช้ 45 ล้านคน และมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศราวร้อยละ 95 ในปี 2018” Dongkeun Yi นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย Counterpoint Research กล่าว
ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทยังต่อยอดฐานผู้ใช้งานไปสู่การเพิ่มฟีเจอร์โฆษณา แผนที่ เกม บริการทางการเงิน ตลอดจนการทำเว็บตูนหรือการ์ตูนดิจิทัลอีกด้วย
ล่าสุด บริการ Kakao Pay ก็ได้ร่วมมือกับ Ant Group ในการพัฒนาคิวอาร์โค้ด และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าในการทำธุรกรรมทางการเงิน
ด้าน Kakao Games ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน่วยธุรกิจที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดทรัพย์ในเดือนกันยายน 2020 ก็สามารถระดมทุนไปกว่า 320 ล้านเหรียญ นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเดินหน้าที่จะนำ Kakao Bank เข้าระดมทุนในช่วงต้นเดือนหน้าเช่นกัน
Yi คาดการณ์ว่า
“ในท้ายที่สุด Kakao วางแผนที่พัฒนาระบบนิเวศให้สมบูรณ์เหมือน WeChat ในประเทศจีน”
“บริษัทกำลังขยายกิจการผ่านบริษัทสื่อมวลชนของ Kakao Entertainment และแอปเคชันเรียกแท็กซี่ Kakao Mobility โดยมีแผนสำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ในปีหน้า” Biswas กล่าว
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Kakao Founder Becomes Korea’s Richest Person As Shares Of His Internet Giant Surge โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม:
LINE ครบรอบ 10 ปี ในไทย เติบโต ตอบโจทย์ ชีวิตดิจิทัล