Hui Ka Yan ผู้ก่อตั้ง China Evergrande Group เคยมีมูลค่าทรัพย์สินมากถึง 4.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และครองอันดับต้นๆ ในทำเนียบมหาเศรษฐีเอเชีย ทว่ากว่าร้อยละ 73 ของความมั่งคั่งมหาศาลนั้นได้หายไปแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าผู้ประกอบการรายนี้จะสูญเสียมากกว่านั้นอย่างแน่นอน
Hui Ka Yan ตอบคำถามจากสื่อในพิธีรับจดทะเบียนบริษัท Evergrande ในฮ่องกง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2009 (ภาพ: Visual China Group/Getty Images)
บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้มีหนี้สินรวมมูลค่า 3.05 แสนล้านเหรียญ เทียบกับเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ 1.34 หมื่นล้านเหรียญจนหลายคนสงสัยว่าบริษัทใดจะรับภาระหนี้จำนวนมหาศาลได้ แต่มูลค่านั้นกลับไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะ Evergrande ไม่เพียงแต่กู้ยืมมาจากธนาคาร บริษัททรัสต์ และผู้ถือหุ้นกู้เท่านั้น แต่ยังมาจากพนักงานและสังคมในวงกว้างอีกด้วย
ทั้งยังมีหนี้นอกงบดุลมากถึง 6.2 พันล้านเหรียญจากการประมาณการของวารสารการเงินท้องถิ่น Caixin ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่งที่ขายให้กับนักลงทุนรายย่อย และหนึ่งในนั้นคือ
Liz ลูกจ้างวัย 35 ปีของหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นในมณฑลเจียงซูทางตะวันออก
“Evergrande เป็นบริษัทที่ติดอันดับ Fortune Global 500 ใช่ไหม” เธอตั้งคำถามพร้อมอ้างถึงการจัดอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“และฉันมีเพื่อนที่ทำงานที่ Evergrande และลงทุนด้วยเงินของเธอเอง 500,000 หยวน (77,000 เหรียญ) เธอบอกฉันว่าจะไม่เคยมีปัญหาอะไร”
Liz ผู้ซึ่งขอให้ระบุชื่อเป็นภาษาอังกฤษของเธอเท่านั้น เผยว่า เธอได้ซื้อผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่งของ Evergrande มูลค่า 350,000 หยวนในปีที่ผ่านมา ซึ่งสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามภาพหน้าจอที่เธอแสดงเป็นหลักฐาน
ในที่นี้ Evergrande บอกกับเธอว่ารายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้เป็นทุนในการขยายธุรกิจเพื่อสร้างยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่ตอนนี้กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงิน และทางบริษัทก็ได้ออกมาส่งสัญญาณเมื่อเร็วๆ นี้ถึง "การขาดแคลนเงินทุนอย่างร้ายแรง" และกล่าวว่าได้ระงับการจ่าย "ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบางส่วน" ดังที่ได้ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์
Liz เสริมว่า เธอสามารถไถ่ถอนเงินต้นและดอกเบี้ย 100,000 หยวนได้สำเร็จเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่สำหรับส่วนที่เหลือที่จะครบกำหนดในเดือนมกราคมปีหน้า เธอกังวลว่าเธอจะไม่มีวันได้มันกลับมา
“เรากำลังรอประกาศเพิ่มเติม” เธอกล่าว ท่ามกลางการเข้าตรวจสอบหน่วยบริหารความมั่งคั่งของบริษัทโดยหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน
ทั้งนี้ การล่มสลายของ Evergrande อาจเกิดขึ้นได้และส่งผลกระทบไปทั่วตลาดการเงินโลก ปัจจุบัน นักลงทุนไม่เพียงแต่ถอนเงินลงทุนออกจาก Evergrande แต่ยังทิ้งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง เนื่องจากพวกเขากังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 1 ใน 4 ของจีดีพี
ด้าน
Joseph Fan ศาสตราจารย์ภาควิชาการเงินจาก Chinese University แห่งฮ่องกงกล่าวว่า
ไม่ว่า Hui ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 1.15 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลที่เขาได้รับจาก Evergrande มูลค่า 8 พันล้านเหรียญนับตั้งแต่เสนอขายหุ้น IPO ในปี 2009 จะถูกตำหนิเป็นการส่วนตัวสำหรับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาในการบริหารจัดการความยุ่งเหยิงเหล่านี้
ที่มา: Forbes China ในปี 2011-2020 และการจัดอันดับมหาเศรษฐีแบบเรียลไทม์ ณ วันที่ 28 กันยายน 2021
ล่าสุด บริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงแห่งนี้ไม่ได้ออกมาประกาศต่อสาธารณะว่าจะจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรมูลค่า 83.5 ล้านเหรียญที่ครบกำหนดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้แก่นักลงทุนอย่างไร ซึ่งความเงียบดังกล่าวได้สร้างความกระวนกระวายใจอย่างถ้วนหน้า
ในทำนองเดียวกัน Hui ยังต้องตอบคำถามกับผู้ซื้อบ้าน 1.5 ล้านคนของเขา ซึ่งเป็นผู้ที่ส่งเงินมัดจำหรือชำระเงินเต็มจำนวนสำหรับบ้านที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างทั่วประเทศจีน
เพราะล่าสุดผู้ซื้อในกวางโจวได้จัดการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ Evergrande เริ่มต้นการก่อสร้างโครงการซึ่งถูกระงับในเดือนพฤษภาคม พร้อมไปกับการเผยแพร่วิดีโอดังกล่าวบนโซเชียลมีเดียของจีน
เพราะฉะนั้นผู้นำที่เคยสาบานว่าจะลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของสังคมและบรรลุ
“ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" อาจทำให้เงินช่วยเหลือโดยตรงที่จะมอบให้ Evergrande จะขัดแย้งกับเป้าหมายของประธานาธิบดี Xi Jinping ในการกำหนดวินัยทางการเงินให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ซึ่งกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อขยายธุรกิจ จนส่งผลให้หนี้ต่ออัตราส่วนจีดีพีเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 45 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ในที่นี้ ทางการยังต้องการตอกย้ำแนวคิดที่ว่าไม่มีบริษัทใด แม้ว่าจะเป็นผู้พัฒนาที่มีความสำคัญอย่าง Evergrande ก็ตาม ที่ใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลวได้
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลอาจขอให้รัฐวิสาหกิจในท้องถิ่น (SOE) ช่วยเหลือในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ยังไม่เสร็จ หรือให้ธนาคารขยายเวลาเงินกู้และเจรจากำหนดเวลาใหม่กับ Evergrande ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้าง
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าหน่วยงานกำกับดูแลได้ควบคุมดูแลบัญชีธนาคารของบริษัทอย่างเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าเงินที่เหลือจะถูกนำไปใช้ในการสร้างอพาร์ทเมนท์ก่อน ไม่ใช่เพื่อชำระคืนเจ้าหนี้
Zhu Ning ศาสตราจารย์ด้านการเงินและรองคณบดีของ Shanghai Advanced Institute of Finance, Shanghai Jiao Tong University กล่าวว่า รัฐบาลอาจประกาศแนวทางแก้ไขอย่างเป็นทางการ "ในเร็วๆ นี้" ซึ่งอาจจะเป็นช่วงหลังสัปดาห์วันหยุดวันชาติในเดือนตุลาคม
ด้าน
Zhou Chuanyi นักวิเคราะห์สินเชื่อจาก Lucror Analytics ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ มีความเห็นว่า รัฐวิสาหกิจไม่เต็มใจที่จะเข้ามาช่วยเหลือโครงการของ Evergrande ซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสินทรัพย์คุณภาพต่ำที่ Evergrande ทิ้งไว้ในบัญชีในขณะนี้
ขณะที่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของโครงการตั้งอยู่ในเมืองจีนชั้นที่ 3 หรือ 4 หรือพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกล และยิ่งไปกว่านั้น มาตรการล่าสุดในการทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยคลายความร้อนแรงได้กลายเป็นการปิดกั้นการขึ้น
ราคาบ้านใหม่ อีกด้วย
“มีคนจำนวนไม่มากที่ต้องการบ้านหรือที่ดินในพื้นที่ชั้น 3 หรือ 4” Zhou กล่าว
“เป็นไปไม่ได้ที่บริษัทของรัฐจะเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ยังไม่เสร็จของ Evergrande แต่รัฐวิสาหกิจอาจเข้ายึดบางโครงการ”
Hui หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Xu Jiayin สะสมความมั่งคั่งจากการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศมานานหลายทศวรรษ
Hui เกิดในปี 1958 ในครอบครัวที่ยากจนซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลเหอหนานตอนกลาง และสูญเสียแม่ก่อนที่จะอายุได้ 1 ขวบด้วยซ้ำ จึงถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณยาย
ชีวประวัติของเขาซึ่งตีพิมพ์โดย Taihai Publishing House ในปี 2017 เล่าว่า เขาช่วยครอบครัวขายน้ำส้มสายชูและไม้ในตลาดหมู่บ้านเมื่อตอนเป็นเด็ก และมักจะต้องกินมันฝรั่งแดงและซาลาเปาบ่อยๆ เพราะเป็นอาหารประเภทเดียวที่เขาหาได้ ในขณะนั้น
Hui สำเร็จการศึกษาจาก Wuhan Iron and Steel University ในปี 1982 และได้งานที่โรงงานเหล็กในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจไปเซินเจิ้น เมืองทางตอนใต้ของจีนที่มีพรมแดนติดกับฮ่องกงในปี 1992 เพื่อทำงานให้กับบริษัทการค้าเป็นเวลา 5 ปี และในที่สุดเขาก็ได้เริ่มลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อพาร์ตเมนต์และสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการ Evergrande's Life in Venice ใน Qi Dong มณฑล Jiangsu ประเทศจีน ณ วันที่ 21 กันยายน 2021
Hui ก่อตั้ง
Evergrande ในปี 1997 ที่กวางโจว จากนั้นบริษัทก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยได้รับอานิสงส์จากแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนของรัฐบาล ซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008-2009 จึงทำให้บริษัทมีเงินทุนมากมาย
ด้วยเหตุนี้การที่บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถกู้เงินได้ในราคาถูก เพื่อใช้ในการสร้างอพาร์ทเมนท์ ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในที่นี้ นักวิเคราะห์มองว่า Hui น่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้าถึงทุกช่องทางการจัดหาเงินทุน ตั้งแต่พันธบัตรและสินเชื่อธนาคาร ไปจนถึงการออกผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่งผ่านบุคคลที่ 3 เช่น บริษัททรัสต์
เขาก้าวขึ้นเป็นคนจีนที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียในปี 2017 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 4.25 หมื่นล้านเหรียญ หลังหุ้น Evergrande ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในฮ่องกง ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการจ่ายเงินปันผลจำนวนมากหลังจากที่บริษัทเปิดตัวสู่สาธารณะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2009
ด้าน Hui ก็ได้รับเงินปันผลเป็นเงินสดมูลค่า 8 พันล้านเหรียญจากหุ้นที่ถือครองอยู่ 1.02 หมื่นล้านหุ้น ซึ่ง Forbes คาดการณ์ว่าเป็นจำนวนที่ยังคงทำให้
เขามั่งคั่งกว่ามหาเศรษฐีชาวจีนส่วนใหญ่ แม้ว่า Evergrande จะล่มสลายในวันนี้ก็ตาม
ไม่เพียงเท่านี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายนี้ได้ขยายกลุ่มธุรกิจไปสู่ฟุตบอลอาชีพ แผงโซลาร์ น้ำแร่ รถยนต์ไฟฟ้า และสวนสนุก เพื่อนำเงินมาชำระอัตราดอกเบี้ยที่ได้กู้ยืมมา
ขณะที่ในปีนี้สัดส่วนการถือหุ้นของ Hui ใน Evergrande เพิ่มขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 80 และอีกร้อยละ 9 ถูกควบคุมโดยคู่ค้าทางธุรกิจเก่าแก่ของเขาอย่าง Joseph Lau และ Chan Hoi Wan ภรรยาของ Lau
ก่อนหน้านี้ Citron Research เคยเรียก Evergrande ว่า บริษัทล้มละลาย ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จในรายงานประจำปี 2012 แต่ในปี 2016 หน่วยงานกำกับของฮ่องกงตัดสินว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จและสร้างความเข้าใจผิด จนส่งผลให้
Andrew Left ผู้ก่อตั้ง Citron ถูกสั่งห้ามซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในเวลาต่อมา แต่ตอนนี้ Left กล่าวกับ Forbes Asia ผ่านทางอีเมลว่า เขารู้สึกเหมือนได้รับการพิสูจน์อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี
ความสัมพันธ์ของ Hui ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการธุรกิจ เพราะเขายังดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเมืองชั้นนำของจีน ซึ่งก็คือคณะกรรมการการประชุมที่ปรึกษาทางการเมืองของประชาชนจีน โดยมีคนพบว่าเขาแสดงท่าทางอย่างร่าเริงในจัตุรัสเทียนอันเหมินของปักกิ่งเมื่องานเลี้ยงฉลองครบรอบ 100 ปีในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทว่าบทบาทในครั้งนั้นดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะช่วยบริษัทได้
แปลและเรียบเรียง จากบทความ Thailand’s Ascend Money Backed By CP Group Reaches $1.5 Billion Valuation โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม:
Hong Chichi ผู้ก่อตั้ง hey Maet