Gaw Capital ‘นักต่อรองชั้นนำ' ผู้พลิกฟื้นสินทรัพย์อับแสงสู่ดาวเจิดจรัส - Forbes Thailand

Gaw Capital ‘นักต่อรองชั้นนำ' ผู้พลิกฟื้นสินทรัพย์อับแสงสู่ดาวเจิดจรัส

FORBES THAILAND / ADMIN
02 Apr 2018 | 03:12 PM
READ 11135

จากฐานที่มั่นในฮ่องกง Goodwin Gaw กำลังสร้าง Gaw Capital กองทุนการลงทุนของเขาให้กลายเป็นมหาอำนาจอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก

Goodwin Gaw สวมเสื้อทีเชิ้ตและใส่รองเท้าทรงสปอร์ตสีดำขัดมันดูเหมือนนักเที่ยวคลับช่วงวันหยุดมากกว่าผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักบริหารที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังผู้นี้กำลังพูดคุยอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับการประเมินราคาสินทรัพย์หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ Gaw วัย 49 ปี คือกูรูนักลงทุนจากฮ่องกง ซึ่งเจาะเข้าไปในธุรกิจอาคารสถานที่ เริ่มต้นจากสหรัฐฯ จากนั้นในจีน เขาและพี่น้อง 2 คนสร้าง Gaw Capital ให้กลายเป็นบริษัทกองทุนส่วนบุคคลด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งบริหารหลักทรัพย์ 1.3 หมื่นล้านเหรียญ นิตยสารอังกฤษชื่อ PERE (ชื่อเดิมคือ Private Equity Real Estate) ยกให้ Gaw Capital เป็นบริษัทกองทุนส่วนบุคคลขนาดใหญ่ที่สุดอันดับที่ 19 ของโลกเมื่อปีที่แล้ว จากอันดับที่ 44 เมื่อปี 2016 และเป็นหนึ่งในสองบริษัทเอเชียที่ทะลุขึ้นไปติด 20 อันดับแรก ความชำนาญพิเศษของ Gaw คือคลังสินค้าที่ถูกทอดทิ้งและโรงแรมในพื้นที่ห่างไกล แต่เขาก็ร่วมลงทุนในข้อตกลงขนาดใหญ่กว่าเช่นกัน อย่างการซื้อกิจการโรงแรม InterContinental Hotel (ชื่อเดิมคือ Regent) มูลค่า 940 ล้านเหรียญบริเวณฝั่ง Kowloon ของฮ่องกง ซึ่งนั่นเป็นการซื้อธุรกิจโรงแรมมูลค่ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเมื่อปี 2015 และมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โรงแรมแทบไม่ใช่เป้าหมายของบรรดากองทุนที่มุ่งสร้างความโดดเด่น แต่นักลงทุนที่ใกล้ชิดกับบริษัทกล่าวว่า Gaw กำลังสร้างผลตอบแทนอันยอดเยี่ยม จุดเริ่มต้นเส้นทางของ Goodwin Gaw เกิดขึ้นในทางใต้ของ California เขาทำงานในวงการอสังหาริมทรัพย์มา 3 ปี ก่อนจะเริ่มระดมทุนจากเพื่อน ครอบครัว และนักลงทุน เพื่อซื้อโรงแรม Roosevelt Hotel อันโด่งดัง ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงาน Academy Awards ครั้งแรกแต่เสื่อมโทรมลงในทศวรรษ 90s “นั่นทำให้ผมก้าวเข้ามาในวงการจริงๆ” Gaw ไม่มีประสบการณ์ แต่ด้วยแนวทางที่เป็นแบบฉบับของเขา เขาหมกมุ่นอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ พูดคุยกับพนักงาน และเชื่อมั่นในสัญชาตญาณตัวเอง ภายในเวลา 2 ปีเขาก็พลิกโฉมโรงแรมนั้นได้ หลังก่อตั้ง Downtown Properties เขายังคงซื้อสินทรัพย์อับแสงต่อ โดยกว้านซื้อไปเกือบ 50 แห่งในปี 2002 จากนั้นเขากลับมาหาครอบครัวที่ฮ่องกงและยังคงมุ่งพลิกฟื้นอสังหาริมทรัพย์ตกอับ Roosevelt Hotel ดีลแรกที่ Gaw เริ่มต้นซื้อสินทรัพย์มาพัฒนาพลิกโฉม (Photo Credit: booking.com) จากนั้นโรค SARS ก็แพร่ระบาด ฮ่องกงได้รับผลกระทบหนัก การท่องเที่ยวซบเซาและอสังหาริมทรัพย์เสียหาย แต่ Gaw รู้สึกถึงโอกาส เขาจึงใช้เงินลงทุนสะพัด “ความปั่นป่วนสร้างโอกาสในการปลุกปั้นอะไรขึ้นมา ให้ป่วนสถานภาพปัจจุบัน ดังนั้น ผมเลยชอบความปั่นป่วน” เขากล่าว “เราค่อนข้างลงทุนอย่างต่อเนื่องระหว่างช่วง SARS เนื่องจากเราเชื่อว่าฮ่องกงจะฟื้นขึ้นมาได้” แล้วการเดิมพันก็เห็นผล ครอบครัวของ Gaw มีธุรกิจสิ่งทอ ชิปปิ้ง ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้วในฮ่องกงซึ่งดูแลโดยแม่ของเขาและ Kenneth น้องชาย แต่เมื่อธุรกิจในฮ่องกงของ Goodwin กำลังโต เขาจึงเสนอให้น้องชายมาร่วมด้วย ซึ่งในที่สุด มันทำกำไรได้อย่างมหาศาลสำหรับครอบครัวของเขา Forbes Asia คาดว่าความมั่งคั่งของครอบครัว Gaw อยู่ที่เกือบ 3 พันล้านเหรียญ ในปี 2008 น้องสุดท้องในบรรดาลูก 3 คน Christina Gaw วัย 45 ปี เข้ามาทำงานกับบริษัท พร้อมประสบการณ์ที่มีจากวาณิชธนกิจอย่าง UBS และ Goldman Sachs     “Christina เป็นนักระดมทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเอเชีย” Goodwin กล่าว เธอดูแลด้านบริการลูกค้าและการระดมทุน ขณะที่หลายคนขนานนาม Kenneth วัย 47 ปี ว่านักบัญชีผู้มีไหวพริบเฉียบขาดในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ “Kenny ใส่ใจกับทุกรายละเอียดมากๆ” Christina กล่าว “ถ้าตัวเลขผิดเพี้ยนไปนิดเดียว เขาจะสังเกตได้และแก้ไขทันที เรารู้ว่าตัวเลขไหนใช้ได้ ถ้าผ่านการกลั่นกรองจาก Kenny มาแล้ว เขาเป็นเซฟตี้เน็ตของพวกเรา” ในทางตรงข้าม Goodwin เป็นนักพนันที่ถือข้างฝ่ายชนะ กองทุนของ Gaw บริหารการลงทุนจากทั้ง London ไปจนถึงเวียดนามและญี่ปุ่น โดยสหรัฐฯ เป็นแหล่งลงทุนใหญ่ของบริษัทซึ่งบริหารจัดการสินทรัพย์มูลค่า 2.7 พันล้านเหรียญ ผ่าน Gaw Capital USA น้องๆ ของ Gaw – (ซ้าย) Kenneth นักบัญชี และ (ขวา) Christina นักระดมทุนที่ดีที่สุดในเอเชีย เมื่อพูดถึง Gaw แหล่งข่าวมักจะชื่นชมเรื่องความน่าไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเป็นบางสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในจีน “พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มบริหารจัดการที่ดีที่สุดในจีน” อดีตนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ซึ่งเคยลงทุนกับ Gaw Capital และยื่นประมูลแข่งกับบริษัทในบางครั้งกล่าว (เขาขอไม่ให้เปิดเผยชื่อต่อสาธารณะเนื่องด้วยนโยบายของบริษัท) “คุณแทบไม่พบบริษัทที่เหมือน Gaw ซึ่งดำเนินธุรกิจในจีน พวกเขาเปิดเผยมูลค่าและเข้าลงทุนอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าคุณจะทำงานด้วยหรือแข่งขันกับพวกเขา พวกเขาก็จะมีความยุติธรรมและรับผิดชอบ” ในแวดวงที่จีนนั้น โครงการ Sanlitun ของ Swire Properties ได้รับการพูดถึงอยู่เสมอว่าเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของการกลับฟื้นฟูอสังหาริมทรัพย์ใหม่ พื้นที่ทรุดโทรมของ Beijing ได้รับการชุบชีวิตใหม่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนหน้านี้ แล้วกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่มาแรงของเมืองในเรื่องแหล่งกินดื่ม แหล่งเที่ยวกลางคืน และแหล่งช็อปปิ้ง แต่ไม่กี่คนที่รู้ว่า Gaw Capital มีบทบาทในโครงการนี้ Goodwin เข้าไปสำรวจพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียมแนวราบเหล่านี้ แล้วมองเห็นศักยภาพในการกลายเป็นจุดช็อปปิ้งของชาวเมือง “แต่นั่นเป็นโครงการที่ใหญ่เกินไปสำหรับเรา” เขากล่าว “เราเพิ่งระดมทุนรอบแรกไป ผมเลยไปหา Swire แล้วพวกเขาก็เข้ามาในฐานะผู้ร่วมลงทุน” เรื่องที่ Swire ได้ชื่อไปนั้นไม่สำคัญ เพราะ Gaw ขายหุ้นในพื้นที่ดังกล่าวไปให้ Swire แล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน แล้วเดินออกมาด้วยผลกำไรมหาศาล โครงการ Sanlitun ที่ Gaw อยู่เบื้องหลังในการออกไอเดียพลิกพื้นที่โครงการคอนโดมิเนียมทั่วไปที่ทรุดโทรม ให้กลายเป็นแหล่งช็อปปิ้ง กินดื่มของ Beijing (Photo Credit: vonSchnitzenberg / thousandwonders.net) เขามีวิสัยทัศน์ที่คล้ายคลึงกันสำหรับพื้นที่เขตอุตสาหกรรมในฮ่องกง Kwun Tong ภาคอุตสาหกรรมย้ายไปจีนนานแล้วและทิ้งซากโรงงานเก่าๆ เอาไว้ Gaw ซื้ออาคารโทรมๆ และนำ MVRDV บริษัทออกแบบสัญชาติดัตช์มาออกแบบตกแต่งรั้วระเบียงและพื้นที่เปิดโล่งให้โดดเด่นขึ้น “ฮ่องกงมาถึงจุดนี้ได้ในปัจจุบัน ก็เพราะอดีตแห่งยุคอุตสาหกรรม โรงงานที่ทำของเล่น และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับโลก” เขากล่าว “ทำไมไม่ทำให้มันกลายเป็นแก้ว แล้วจัดแสดงอดีตแห่งอุตสาหกรรมล่ะ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นแนวทางสร้างสรรค์ที่คาดว่าจะดึงดูดภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยี การออกแบบ และแฟชั่น” Goodwin กล่าวว่า “ผมไม่ได้มองเราในฐานะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผมมองเราในฐานะธุรกิจผลิตภัณฑ์ แค่ผลิตภัณฑ์ของเราคืออสังหาริมทรัพย์ ถ้าคุณเพียงแต่คิดว่าตัวเองเป็นนักอสังหาริมทรัพย์ คุณจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะอสังหาริมทรัพย์กำลังถูกกลืนกินจากกระแสรอบด้านที่แตกต่างกันในทุกวันนี้” เขาให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูพื้นที่เมือง โดยการเปลี่ยนแปลงละแวกชุมชนทั้งหมด นั่นเป็นแนวคิดสำหรับ Manhattan ซึ่ง Goodwin กำลังจะปิดดีล Standard, High Line ขนาด 18 ชั้น โรงแรมบูติกแห่งนี้ซึ่งเปิดในปี 2009 ตั้งอยู่ใจกลางของเขต Meatpacking อันเก่าแก่ และอยู่ในแนวรถไฟที่ได้รับการเปลี่ยนให้เป็นสวนสาธารณะ High Line “ผู้คนบอกว่า คุณดูเหมือนมีความสนใจตึกเก่าๆ พวกนี้และพยายามชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่” ผมเลยบอกพวกเขาว่า “ตึกพวกนี้พูดกับผม” Goodwin กล่าว The Glass Office โครงการที่ Gaw Capital ให้บริษัท MVRDV ใช้โครงสร้างเดิมของโรงงานเก่ามาเนรมิตใหม่เป็นอาคารสำนักงานกระจก (Photo Credit: inhabitat.com) Standard, High Line โรงแรมที่ Gaw กำลังเข้าซื้อ (Photo Credit: cityphile.com)   เรื่อง: RON GLUCKMAN เรียบเรียง: ชูแอตต์
คลิกอ่าน "นักต่อรองชั้นนำ" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ กุมภาพันธ์ 2561 ในรูปแบบ e-Magazine