BATA การกลับมาของอดีตเจ้าตลาดรองเท้าเมืองภารตะ - Forbes Thailand

BATA การกลับมาของอดีตเจ้าตลาดรองเท้าเมืองภารตะ

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Nov 2015 | 11:28 AM
READ 2204
เรื่อง: ANURADHA RAGHUNATHAN เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา

เมื่อสมัยที่กิจการผลิตรองเท้าระดับโลกอย่าง “บาจา” นำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินเดียในปี 1973 นั้น บาจานับเป็นเจ้าตลาดรองเท้าในอนุทวีปอย่างแท้จริงโดยมียอดขายรองเท้ายาง รองเท้าผ้าใบ และรองเท้าหนังรวมกันมากกว่า 40 ล้านคู่ และมีการจ้างงานพนักงานมากถึง 22,000 คน รวมถึงพนักงานทำรองเท้า นักออกแบบรองเท้า และนักเคมีด้วย

ยอดขายของบาจาที่อินเดียในปี 1972 สูงถึง 67 ล้านเหรียญ นับเป็นความสำเร็จอย่างงดงามของ บาจาในฐานะบริษัทต่างชาติที่สามารถเจาะตลาดรองเท้าของประเทศที่ใหญ่อย่างอินเดีย ซึ่งมีการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศอย่างเข้มงวดแทบจะที่สุดในโลกก็ว่าได้ (แต่ในแง่นี้จีนเข้มงวดยิ่งกว่า) ในตอนนั้น มีบริษัทระดับโลกอีกสองสามแห่ง อย่างเช่น Unilever ที่สามารถเข้ามาทำตลาดในอินเดียได้สำเร็จเช่นกัน ตลาดรองเท้าของอินเดียในช่วงนั้นถือว่ามีอนาคตสดใสอย่างมาก อัตราการสวมรองเท้าต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้นจาก 0.35 คู่ในปี 1961 เป็น 0.52 คู่ในปี 1971 ซึ่งทำให้ยอดขายรองเท้าแตะที่ทนทานและราคาไม่แพงในร้านรองเท้าสีสันฉูดฉาดของบาจาเติบโตอย่างไม่หยุดหย่อนแต่พอถึงทศวรรษที่ 1990 เมื่ออินเดียเปิดประเทศ แบรนด์รองเท้าบาจา ก็ถูกรุมเร้าด้วยสารพัดปัญหาที่ประเดประดังเข้ามา ตัดภาพกลับมาที่ปี 2015 กิจการของบาจาที่อินเดียกลับมาเฟื่องอีกครั้ง โดยในปัจจุบันบริษัทขายรองเท้าได้ปีละ 50 ล้านคู่ และหุ้นของบริษัทก็เป็นหุ้นในกลุ่มการบริโภคซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนโดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงถึงกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า (ในรูปของเงินรูปี) ในรอบห้าปีที่ผ่านมา ผู้บริหารที่รับบทนำในการสร้างการเติบโตของบาจาในอินเดียก็คือ Rajeev Gopalakrishnan ชายอายุ 50 ปีที่ดูแลธุรกิจในเอเชียใต้ให้กับบาจา “ผมต้องการเพิ่มยอดขายในอินเดียเป็น 1 พันล้านเหรียญให้ได้ในอีกห้าปีข้างหน้า” ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะต้องทำรายได้เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจาก 349 ล้านเหรียญในปี 2014 (ยอดขายในเอเชียใต้ทั้งหมดสูงกว่า 600 ล้านเหรียญ) ทั้งนี้ยอดขายของบาจาจะได้อานิสงส์จากที่จำนวนชนชั้นกลางในอินเดียขยายตัวอย่างรวดเร็ว จำนวนแรงงานสตรีในตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้น อินเดียกลับมาติดอันดับ 1 ใน 3 ตลาดที่ทำรายได้สูงสุดให้กับบริษัทแม่ของบาจาที่สวิส ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ 2.5 พันล้านเหรียญ Jack Clemons ซึ่งเป็น CEO ของ Bata Group บอกว่า “เรามั่นใจว่าจะสามารถสืบสานความสำเร็จในอินเดียได้โดยอาศัยการขยายเครือข่ายสาขาและสินค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น” บริษัทลูกของบาจาในอินเดียซึ่งมีร้านค้าในเครือถึงเกือบ 1,300 แห่งกระจายตามเมืองต่างๆ กว่า 500 เมืองมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 100 สาขาในปีนี้ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงร้านแบบ stand-alone ที่ได้รับอนุญาตให้ขายสินค้าที่มีแบรนด์อย่างเช่น Hush Puppies ด้วย Gopalakrishnan บริหารงานแบบเอาตัวลงไปคลุกกับ “สายการผลิตรองเท้า” ทุกแบบทุกรุ่นที่สำนักงานใหญ่ของ Bata India ที่ Gurgaon ใกล้กรุง Delhi โดยเขาทดลองสวมรองเท้ารุ่นใหม่ทุกรุ่นด้วยตนเอง (เฉพาะรองเท้าผู้ชายเบอร์ 8) เขาทดลองทั้งดึง ทั้งทึ้ง รวมถึงตรวจสอบพื้นรองเท้า ความเรียบร้อยของหนัง และตะเข็บ ก่อนที่จะอนุมัติให้ทำการผลิตรองเท้ารุ่นนั้นๆ ซึ่งรองเท้าต้นแบบที่ไม่ผ่านมาตรฐานของเขาก็จะไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สายการผลิตของบาจาที่อินเดีย เขาทำงานกับบาจามานานถึง 25 ปี โดยก่อนหน้านี้เขารับหน้าที่บริหารกิจการบาจาที่ประเทศไทยและบังกลาเทศ ตลาดรองเท้าในอินเดียทุกวันนี้ก็เคลื่อนไปข้างหน้าเช่นกัน โดยบาจาต้องเผชิญกับคู่แข่งในประเทศอย่าง Khadim’s (ซึ่งมีสาขาร้านรองเท้า 650 ร้านทั่วประเทศ) และคู่แข่งระดับโลกและจากเอเซียอย่างเช่น Charles & Keith นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง Relaxo of Delhi ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ในปี FY15 สูงถึง 240 ล้านเหรียญ จากการใช้ดาราดังจาก Bollywood เป็นพรีเซนเตอร์ช่วยขายรองเท้าแตะ แต่ Gopalakrishnan บอกว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาจากเครือบาจาที่มีขนาดใหญ่กว่า ด้วยการประชุมกับคู่ค้าทั่วโลกเพื่อแบ่งปันแบบรองเท้าระหว่างกัน จับกระแสแฟชั่นล่าสุดจากอิตาลี และเข้าใจวัสดุใหม่ที่นำมาใช้ผลิตรองเท้าได้ สำหรับในตลาดอินเดีย มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ขายได้ดีกว่าอะไรทั้งหมด “ถ้าพูดถึง ‘ความสบาย’ แล้วล่ะก็คนจะต้องนึกถึงเราเท่านั้น” Gopalakrishnan ประกาศ “ผมจะไม่ยอมเสียภาพลักษณ์นี้ไปให้ใคร แต่จะรักษามันไว้เป็นจุดแข็งของเรา”
คลิ๊กอ่าน "BATA การกลับมาของอดีตเจ้าตลาดรองเท้าเมืองภารตะ" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailandฉบับ OCTOBER 2015