พลิกโฉม Aboitiz ขยายการลงทุนสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล - Forbes Thailand

พลิกโฉม Aboitiz ขยายการลงทุนสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล

FORBES THAILAND / ADMIN
07 Jan 2024 | 08:00 PM
READ 2175

Sabin Aboitiz เป็นผู้นำการพลิกโฉมครั้งใหญ่มูลค่า 3.8 แสนล้านเปโซ (7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ของ Aboitiz Equity Ventures กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่อายุ 1 ศตวรรษของฟิลิปปินส์ที่ตระกูลใหญ่ของเขาเป็นผู้ควบคุมให้ขยายขึ้นกว่าเดิม โดยมุ่งเน้นการธนาคาร โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยี


    ในช่วง 7 ปีข้างหน้ากรรมการผู้จัดการใหญ่คนนี้วางแผนจะขยายธุรกิจเข้าสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนและการสร้างสนามบิน เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล (data centers) เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวในประเทศที่มีเศรษฐกิจโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศนี้

    หลังจากเขามากุมบังเหียนดูแลบริษัทต่อจากพี่ชายชื่อ Erramon เมื่อเดือนมกราคม ปี 2020 ได้ไม่นาน Sabin ก็ได้เห็นผลเสียของการที่ Aboitiz Equity พึ่งพาธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งคิดเป็นเกือบ 60% ของกำไรของบริษัท

    เมื่อรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศเพื่อควบคุมการระบาดของโควิดจนทำให้อุปสงค์หดหาย กำไรสุทธิร่วงลงไป 30% เหลือ 1.54 หมื่นล้านเปโซในปีนั้น ซึ่งต่ำที่สุดในรอบสิบกว่าปี

    “เราอยากแตกสายออกไปจากอุตสาหกรรมที่รัฐบาลควบคุมเพียงผู้เดียว และเข้าสู่ภาคอุปโภคบริโภคที่เราจะใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นจากคนวัยทำงานของประเทศ” Aboitiz วัย 59 ปีกล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2023 ณ ห้องทำงานของเขาในใจกลางย่านการเงิน Bonifacio Global City ใกล้เขตศูนย์กลางธุรกิจ Makati ในพื้นที่ Metro Manila

    แล้วพวกเขาก็ทำตามที่พูด เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Aboitiz Equity จับมือกับ Coca-Cola Europacific Partners (CCEP) เพื่อซื้อกิจการ Coca-Cola Beverages Philippines จากบริษัทน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่ากิจการ 1.8 พันล้านเหรียญ โดยคาดว่าการเสนอซื้อกิจการดังกล่าวซึ่งยังต้องผ่านการสอบทานธุรกิจและขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลจะเสร็จภายในสิ้นปี 2023

    “การซื้อกิจการครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดกลยุทธ์สร้างความหลากหลายให้พอร์ตของ Aboitiz เพื่อเข้าสู่ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านธุรกิจกำไรสูงที่เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ดีที่สุดของโลก” Sabin กล่าว เมื่อการทำข้อตกลงเสร็จสิ้น Aboitiz Equity จะถือหุ้น 40% ใน Coca-Cola Philippines และ CCEP จะถือหุ้นส่วนที่เหลือ

    แม้การปรับโฉมบริษัทของ Aboitiz ในครั้งนี้จะเป็นการตั้งเป้าหมายไว้สูงที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่ตระกูลนี้เคยทำมา แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Aboitiz Equity ปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจของบริษัทก้าวทันโลกอยู่เสมอ บริษัทจากยุคอาณานิคมแห่งนี้มีความเป็นมาย้อนไปจนถึงสมัยของ Paulino Aboitiz กะลาสีจากแคว้น Basque ของสเปนผู้มาถึงฟิลิปปินส์ในช่วงปลายทศวรรษ 1800 และสร้างธุรกิจค้ากัญชงและขนส่ง

    บริษัทนี้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี 1920 เป็นบริษัทเอกชนชื่อ Aboitiz & Co. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Aboitiz Equity จากธุรกิจที่มีฐานอยู่ในเกาะ Cebu ทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ ลูกหลานรุ่นต่อๆ มายึดถือปรัชญาของต้นตระกูลผู้ล่วงลับชื่อ Ramon Aboitiz (ลูกชายคนที่ 2 ของ Paulino และเป็นปู่ของ Sabin) ซึ่งตามข้อมูลในหนังสือที่จัดพิมพ์เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีของบริษัทเคยกล่าวไว้ว่า “อย่าตกหลุมรักธุรกิจของตัวเอง”

    Erramon วัย 67 ปี นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ในช่วงปี 2009-2019 ได้สร้างธุรกิจพลังงานของ Aboitiz Equity ให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นซัพพลายเออร์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเกือบ 4 กิกะวัตต์ ส่วนธุรกิจขนส่งผู้โดยสารและสินค้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นธุรกิจใหญ่ที่สุดของกลุ่มถูกขายไปในปี 2010 เมื่ออัตรากำไรลดลงท่ามกลางการแข่งขันกับสายการบินราคาประหยัดซึ่งบางช่วงขายตั๋วถูกกว่าเรือเฟอร์รีเสียอีก

    กลุ่มบริษัทนี้ยังมีหุ้นในโรงงานอาหารสัตว์ บริษัทผลิตอาหาร ธุรกิจปูนซีเมนต์ และอสังหาริมทรัพย์ด้วย

    “เราปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่เสมอ แต่การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม” Sabin กล่าว “เรากำลังเปลี่ยนจากคนแก่อายุ 100 ปี มาเป็นนักกีฬาอายุ 25 ปี”

    Sabin และพี่น้องเป็นรุ่นที่ 4 ในตระกูล Aboitiz ซึ่งมีทรัพย์สินประมาณ 3.15 พันล้านเหรียญ และเป็นอันดับ 6 ในทำเนียบ 50 Richest ของฟิลิปปินส์ ตระกูลนี้มีสมาชิกกว่า 500 คน โดยมี 17 คนที่มีส่วนร่วมบริหารธุรกิจในปัจจุบัน ตลอดชีวิตการทำงานของ Sabin เขาทำงานมาหลายตำแหน่งในหลายกิจการของตระกูล Aboitiz หลังจากที่เขาจบปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจและการเงินจาก Gonzaga University ในสหรัฐฯ มาเมื่อปี 1986

    Aboitiz Equity หาผู้สืบทอดคนใหม่มารับตำแหน่งผู้นำเป็นเรื่องปกติเพื่อให้บริษัทกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ โดยกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้จัดการใหญ่ไว้ที่ 6 ปี และให้เกษียณเมื่ออายุ 60 ปี (แต่คณะกรรมการบริษัทต่ออายุให้ Sabin 3 ปีจนถึงเดือนธันวาคม ปี 2027 เนื่องจากมีเหตุโควิดระบาดเข้ามาแทรก) แม้กลุ่มบริษัทนี้จะมีคนในตระกูล Aboitiz เป็นผู้นำเสมอ แต่ Sabin กล่าวว่า ผู้นำทุกคนไม่ใช่จะได้ตำแหน่งมาง่ายๆ เพราะการคัดเลือกผู้นำนั้นดูจากความสามารถ

    นักบริหารรุ่นที่ 5 มี Samel วัย 32 ปี ลูกชายคนเดียวของ Sabin ซึ่งทำงานให้ Aboitiz Equity อยู่ในฝ่ายการเงิน Tristan ลูกชายวัย 41 ปีของ Roberto Eduardo ลูกพี่ลูกน้องผู้ล่วงลับของ Sabin ซึ่งเป็นซีอีโอของ Pilmico บริษัทผลิตเนื้อสัตว์ที่ผลิตแป้งและอาหารสัตว์ด้วย และพี่สาววัย 43 ปีของ Tristan ชื่อ Ana Maria Aboitiz-Delgado ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทน 6 คนของตระกูลนี้ที่อยู่ในคณะกรรมการ 9 คนของกลุ่มบริษัท 

    Erramon ก็อยู่ในคณะกรรมการด้วย พร้อมกับพี่ชายคนโตของเขาคือ Enrique Jr. วัย 69 ปีที่เป็นประธานกรรมการกำไรที่ลดลงในช่วงเกิดโรคระบาดไม่เพียงกระตุ้นให้ Sabin ต้องมองหาตัวขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ แต่ยังทำให้บริษัทต้องผันตัวจากธุรกิจโรงไฟฟ้าถ่านหินไปหาแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ก่อมลพิษด้วย

    ในปี 2021 ช่วงที่โควิดกำลังระบาดหนักที่สุด Aboitiz Equity ขายหุ้น 25% ของ Aboitiz Power ให้ JERA ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง Tepco Fuel & Power กับ Chubu Electric Powerของญี่ปุ่นด้วยราคา 1.5 พันล้านเหรียญ ทำให้หุ้นของ Aboitiz  Equity ในบริษัทนี้ลดลงจาก 77% เหลือ 52% ซึ่ง Sabin กล่าวว่า “ไม่ควรมีธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งที่ทำกำไรให้กลุ่มเกิน 50%”

    หลังจากลดสัดส่วนการถือหุ้นลง กำไรสุทธิของกลุ่มก็ลดลง 9% เหลือ 2.5 หมื่นล้านเปโซในปี 2022 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แล้วกำไรก็ตกไปอีก 11% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2023 เนื่องจากสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถึงแม้กำไรจะลดลง Sabin ก็มั่นใจว่ากลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายของธุรกิจจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กลุ่มได้ในอนาคต

    “เราเชื่อว่ากำไรจะกลับมาแข็งแกร่งได้ในที่สุดเมื่อเรามีธุรกิจหลากหลาย” Sabin กล่าว “การที่กำไรลดลงถือเป็นต้นทุนในการสร้างความหลากหลายและความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราพร้อมจ่ายอย่างยิ่ง” นอกจากนี้ เงินที่ได้จากการขายหุ้น Aboitiz Power บางส่วนยังช่วยเสริมงบดุลของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อสนับสนุนแผนการลงทุนด้วย

    Aboitiz Power กำลังลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 1.9 แสนล้านเปโซภายในทศวรรษนี้ เพื่อจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งให้มากกว่าเท่าตัวเป็น 9.2 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 และบริษัทหยุดสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มแล้ว ซึ่งโรงไฟฟ้าถ่านหินคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 77% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดของบริษัท

    Sabin กล่าวว่า บริษัทกำลังเร่งสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ แสงอาทิตย์ ลม และน้ำ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และยังกล่าวอีกว่า กลุ่มกำลังสำรวจเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอื่นๆ ผ่านการเป็นหุ้นส่วนกับ JERA เช่น ก๊าซธรรมชาติ ไฮโดรเจน และแอมโมเนีย

    “โรงงานเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความหลากหลายด้านพลังงานให้ประเทศ และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ต้องนำเข้า” Sabin กล่าวและเสริมว่า แผนการนี้จะช่วยให้ Aboitiz Power หาเงินกู้ได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะเหล่าผู้ออกเงินกู้ซึ่งกำลังหาทางลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของตนเองก็อยากปล่อยเงินกู้ให้โครงการสีเขียวกันมากขึ้น

    อย่างไรก็ตามแม้อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น แต่ Sabin กล่าวว่า การระดมทุนไม่ใช่เรื่องน่าวิตก “เรามีวงเงินสินเชื่อเยอะแยะ” เขากล่าว “เรารีไฟแนนซ์หนี้ได้ง่ายๆ” และเขาเสริมว่า กลุ่มอาจขายสินทรัพย์บางอย่างเพื่อหาเงินทุนก้อนใหม่ ซึ่งถ้าไม่ใช้วิธีการขายขาดก็อาจจะเป็นการเสนอขายหุ้น IPO

    แม้ Aboitiz Equity จะเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีหนี้เยอะที่สุดในฟิลิปปินส์ โดยเมื่อดูจากข้อมูลของ Bloomberg กลุ่มมีหนี้เงินกู้รวม 3.73 แสนล้านเปโซ และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 1.1 เท่า ณ เดือนมีนาคม ปี 2023 แต่ April Lynn Tan ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายกลยุทธ์ของ COL Financial Group ใน Manila กล่าวว่า กลุ่มนี้ยังอยู่ในสถานะเหมาะสมที่จะกู้เพิ่มได้อีก

    “พวกเขาแบกรับอัตราส่วนหนี้สูงได้เพราะทำธุรกิจพลังงานและมีกระแสเงินสดสม่ำเสมอมาก” Tan กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาจากการส่งข้อความ “พวกเขาจะระดมทุนทำโครงการต่างๆ ก็ง่าย” Aboitiz Power เป็นตัวทำเงินที่สำคัญของกลุ่ม โดยทำกำไรได้ 58% ของกำไรสุทธิทั้งกลุ่มในปีที่แล้ว


​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สินนท์ ว่องกุศลกิจ “บ้านปู เน็กซ์” ผู้นำธุรกิจพลังงานสะอาด

​​คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine