“พัฒน์กล” ดันธุรกิจน้ำแข็ง ลุยอาเซียน - Forbes Thailand

“พัฒน์กล” ดันธุรกิจน้ำแข็ง ลุยอาเซียน

ประสบการณ์ล้มแล้วลุกของ “ปิยะ จงวัฒนา” ผู้นำธุรกิจเครื่องทำน้ำแข็งโลก เปลี่ยนวิกฤติติดลบ 3 พันล้านเป็นโอกาสปัดฝุ่นหลังบ้าน สร้างความพร้อม “พัฒน์กล” เดินหน้าทุกธุรกิจบุก AEC

ปิยะ จงวัฒนา ในวัย 69 ปี คือประธานกรรมการบริหาร บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเครื่องทำความเย็นรายใหญ่ในอาเซียน และผู้ผลิตเครื่องทำน้ำแข็งหลอดระดับนานาชาติ ที่เขาต่อยอดจากธุรกิจรับเหมาติดตั้งเครื่องทำความเย็น และตัวแทนจำหน่ายเครื่องปรับอากาศของครอบครัว ด้วยยอดขาย 10 ล้านบาท เมื่อกว่า 40 ปีก่อน มาวันนี้ปี 2557 ในช่วง 9 เดือนแรก สร้างยอดขายได้แล้ว 3 พันล้านบาท ความสำเร็จแรกในการสานต่อธุรกิจครอบครัวของวิศวกรเครื่องกล จากรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกิดในช่วงวิกฤติการณ์น้ำมันปี 2515  เมื่อปิยะสร้างเครื่องผลิตน้ำแข็งให้กับบริษัทประมงในจังหวัดสมุทรสาคร ทดแทนสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ส่งของมาไม่ครบ จากนั้นได้สร้างเครื่องทำน้ำแข็งสำหรับเครื่องดื่ม เช่นเครื่องทำน้ำแข็งหลอด จนพบตลาดใหญ่ในภาคอีสาน ที่ยังขาดสุขอนามัยในการผลิตน้ำแข็ง จนทำให้ท้องเสียกันมาก โดยเขาสามารถหาลูกค้าที่สนใจทำธุรกิจน้ำแข็งได้เป็นจำนวนมาก กระทั่งคืนกำไรได้ภายใน 2 ปี “ปัจจุบันเราผลิตได้ 100 ตันต่อวัน คู่แข่งรายใหญ่ของเราคืออเมริกา ทำได้ 60-70 ตันก็เหนื่อยเต็มที เราพูดได้ว่า เครื่องทำน้ำแข็งหลอดสำหรับบริโภคของเราใหญ่ที่สุด และขายได้มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 50% ของโลก และเกิน 80% ในประเทศ” ปัจจุบันพัฒน์กลแตกแขนงสู่ธุรกิจเครื่องทำความเย็น ธุรกิจแปรรูปอาหารเหลว ธุรกิจวิศวกรรมแปรรูปอาหาร และกลุ่มธุรกิจเครื่องทำน้ำแข็งมูลค่าหลายพันล้านบาท อีกทั้งยังเป็นบริษัทแห่งแรกของไทย ที่สามารถออกแบบและสร้างโรงงานแปรรูปปลาทูน่ากระป๋อง และโรงงานกุ้งแบบครบวงจร และสร้างเครื่องจักรแช่แข็ง เครื่องคัดขนาด ปลา กุ้ง ผลไม้ รวมไปถึงเครื่องบรรจุผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิเครื่องบรรจุข้าวสาร อาหารสำเร็จรูปต่างๆ Evaporative condenser หรือเครื่องควบแน่นแบบระเหย เพื่อระบายความร้อนทิ้งจากระบบปรับอากาศ โดยระบายความร้อนส่วนเกินด้วยการระเหยน้ำ แต่ก่อนจะบุกตลาดอาเซียน ปิยะจำเป็นต้องล้างความผิดพลาดในอดีตเมื่อปี 2549 ที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ทำให้ธุรกิจรายได้กว่า 3 พันล้านบาท พลิกกลับเป็นติดลบ 3 พันล้านบาท จนถูกสั่งพักการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่ 10 พ.ค. 2553  แต่หลังจากผ่านแผนฟื้นฟูกิจการ พัฒน์กลพร้อมจะกลับมาซื้อขายในตลาดหุ้นอีกครั้ง พัฒน์กลยังวางเป้าหมายขยายการเติบโตไปต่างประเทศ จาก 25% เป็น 40% ต้อนรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยที่ผ่านมา ประเทศมาเลเซียคือตลาดใหญ่สุด ที่พัฒน์กลสามารถครองใจคู่ค้าและสร้างฐานผู้บริโภคที่แข็งแกร่งในธุรกิจน้ำแข็ง ไว้ตั้งแต่เมื่อ 28 ปีก่อนแล้ว “เราไม่ได้ขายน้ำแข็งหลอดอย่างเดียว แต่เรานำธุรกิจน้ำแข็งหลอดไปให้ลูกค้า หมายความว่าเรามีทุกอย่าง คุณจะขายราคาเท่าไหร่ แพ็กกิ้งอย่างไร วิธีขาย เราพามาดูประเทศไทย ดูเป็นแพ็กเกจให้ การสร้างโรงงาน เราออกแบบให้เรียบร้อย” ยุทธศาสตร์หนึ่งในการบุกตลาดต่างประเทศก็คือเปลี่ยนชื่อกลุ่มธุรกิจจาก food and dairy เป็น liquid food ให้สอดคล้องกับเครื่องจักรที่สามารถผลิตนม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ และอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่อาหาร เช่น แชมพู ครีมนวดผม สบู่เหลว ยา และเคมีภัณฑ์ “คุณดื่มเครื่องดื่มอะไร เป๊บซี่ โคล่า ชาเขียว อิชิตัน โออิชิ ไฮเนเก้น สิงห์ ดัชมิลล์ นมบีทาเก้น เมจิ สินค้าสหกรณ์ทั่วประเทศ เราเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรทั้งนั้น” ปิยะกล่าวถึงวันพรุ่งนี้ของพัฒน์กลอย่างมั่นใจว่า “ไม่ว่าจะธุรกิจไหนที่พัฒน์กลทำ เราเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียน เราเป็นเบอร์ 1 ในห้องเย็น เราเกือบจะเป็นรายเดียวที่มีความสามารถในการสร้างโรงนมในอาเซียน ด้านทูน่าเราก็เป็นเบอร์ 1 ในอาเซียนไม่มีใครเก่งเท่าเรา ทั้ง liquid food และห้องเย็น โดยเฉพาะธุรกิจน้ำแข็ง เราพูดได้ว่าเราเป็นอันดับ 1 ของโลก”

อ่าน "พัฒน์กล พร้อมลุยอาเซียน ดันธุรกิจน้ำแข็งนำทัพ" ฉบับเต็มได้ใน Forbes Thailand ฉบับ JANUARY 2015