ภายในเนื้อที่เกาะเล็กๆ ที่มีประชากรกว่า 7 ล้านคนแห่งนี้ Hong Kong มีเรื่องราวอันน่าสนใจซ่อนอยู่
Joshua Steimle ซีอีโอ MWI บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน digital marketing ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่ Salt Lake City, Utah ได้ย้ายมาปักหลักบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ครบปีแล้ว เพื่อตั้งสำนักงานสาขาของตนเอง สำหรับผู้ที่สนใจจะมาทำธุรกิจใน Hong Kong โดยเฉพาะหากการทำธุรกิจนั้นหมายถึงการอยู่อาศัยบนเมืองนี้ด้วย ข้อสังเกตของเขาต่อไปนี้ เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก Hong Kong ไม่ใช่จีน ตามตัวบทกฎหมายแล้ว Hong Kong เป็น "เขตปกครองพิเศษ" (Special Administrarive Region - SAR) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้นโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ไม่ว่าด้วยเจตนาหรือเป้าประสงค์ใดก็ตาม รัฐบาลจีนจะไม่ปรากฎโฉมให้เราเห็นเลย และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปด้วย แต่ทว่าระบบสังคมนิยมยังคงกระจายอยู่ไปทั่ว ในรูปแบบของงานสาธารณสุขและโรงเรียนรัฐ ไม่ต่างจากที่เห็นในหลายประเทศทั่วโลก ต่างกันตรงที่ Hong Kong นั้น เป็นดินแดนแห่งแรกที่ดำรงรักษาระบอบนี้ไว้ได้อย่างสงบสุข จนเกิดความเชื่อมั่นได้ว่า กงล้อแห่งธุรกิจจะหมุนไปอย่างข้างหน้าอย่างนิ่มนวล ทุกคนพูดภาษาอังกฤษ จริงว่าไม่ใช่คนทุกคน แต่หากคุณต้องการไปประกอบธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ตามที่คุณติดต่อเพื่อทำการค้า เขาคนนั้นมีแนวโน้มที่จะพูดอังกฤษได้เป็นอย่างดี และอาจมีการใช้ถ้อยคำสำนวนจากภาษาจีนกวางตุ้งบ้างในชีวิตประจำวัน ซึ่งคุณสามารถใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เรียนรู้จากโปรแกรมฝึกออกเสียง แล้วฝึกฝนด้วยตัวเอง หากบางคนอยากจะจริงจังก็อาจจ้างครูสอนเลยก็ได้ แต่อย่าคาดหวังว่าคนที่นั้นจะช่วยคุณฝึกฝนได้ เพราะหากพูดกวางตุ้งกับเขา เกือบทั้งหมดจะตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ แล้วหากบอกเขาว่าเราต้องการเรียนภาษากวางตุ้ง เขาจะตอบว่าเสียเวลาเปล่า ไปเรียนภาษาจีนแมนดารินเถอะ การหาบ้านพักช่างยุ่งยาก แม้ว่าบริษัทอย่าง Spacious และ Okay จะเข้ามาปฏิวัติวงการซื้อและเช่าบ้านใน Hong Kong ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงยุ่งยากอย่างมาก ตามสภาพพื้นฐานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บนเกาะแห่งนี้ สิ่งที่คุณจะต้องเผชิญอย่างแรกคือ นายหน้าแต่ละรายมีความสามารถและขอบเขตจำกัดมาก หากคุณจ้างเธอคนหนึ่งให้ไปติดต่อบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเธอเอง เพราะคุณเห็นว่าบ้านอยู่ติดกันก็น่าจะรู้จักกัน และเป็นนายหน้าให้กัน แต่อาจจะไม่สำเร็จก็เป็นได้ อีกปัญหาหนึ่งก็คือ ที่นี่ไม่มีระบบฐานข้อมูลที่เรียกว่า Multiple Listing Service หรือ MLS เช่นที่สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ง่ายสำหรับเอเย่นต์ทุกราย แต่สำหรับบนเกาะแห่งนี้ อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเอเย่นต์ที่อยู่ในย่านเดียวกัน ตั้งสำนักงานติดกัน จะมีข้อมูลของบ้านหรือห้องเช่าชุดเดียวกัน เขาทั้งสองอาจโชว์แฟ้มข้อมูลที่ต่างกันให้คุณดู เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่ปกติที่กว่าจะหาเช่าที่พักได้สักที่ ต้องตระเวนดูถึง 40-50 แห่ง ทุกอย่างช่างเล็กไปหมด อย่านำข้าวของติดตัวไปมากนัก เพราะที่พักของอาจจะมีเนื้อที่ไม่พอ ควรเอาไปแต่กระเป๋าเดินทางก็พอ แล้วค่อยไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ IKEA แค่จ่ายเพิ่มนิดหน่อยเขาก็จะไปส่ง แล้วประกอบติดตั้งให้เลย บันไดที่นี่เล็กกว่ากว่าในสหรัฐฯ สำนักงานก็เล็กกว่า การใช้พื้นที่ต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด จนในบางครั้งอาจจะไม่สะดวกสบาย แต่ก็สามารถปรับตัวได้ไม่ยาก การมีบ้านใช่ว่าจะแพงเสมอ ถ้าคุณคิดจะใช้ชีวิตกลางเมือง ก็แน่นอนว่าต้องจ่ายค่าเช่าอย่างมหาโหด แต่ถ้าตัดสินใจออกไปอยู่รอบนอก ใช้เวลาเดินทางสัก 30 ถึง 45 นาที คุณจะมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายกว่า ครอบครัวของผู้เขียนอาศัยบนเกาะที่แยกออกจากเกาะใหญ่ ซึ่งมีภาระค่าเช่าน้อยกว่าจ่ายค่าเช่าในเมือง Salt Lake City ใน Utah เสียอีก จริงอยู่ว่ามันเป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ และขาดสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราคุ้นเคย เช่น เตาอบขนาดมาตรฐาน แต่ก็ทำให้เราได้ทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยราคาที่ไม่แพงนัก ค่าเล่าเรียนแพงมาก หากต้องการจะส่งลูกๆ เข้าโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุด ให้คุณเตรียมเงินไว้ได้เลยปีละ 22,000 เหรียญสหรัฐ สำหรับเด็กหนึ่งคน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีโชคด้วย เขาถึงตอบรับให้ลูกคุณเข้าเรียนได้ ด้วยระบบการศึกษาที่ไม่สมดุลในทางอุปสงค์และอุปทาน ทำให้ค่าเล่าเรียนพุ่งสูงลิบ แต่ยังมีทางเลือกอื่นๆ อีก เช่นส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนท้องถิ่น (หากต้องการให้เรียนภาษากวางตุ้ง) หรือในกรณีของครอบครัวผู้เขียน เลือกการศึกษาในแบบโฮมสคูล ซึ่งไม่ผิดกฎหมายใน Hong Kong พื้นที่สำนักงานราคาแพงมหาศาล ค่าใช้จ่ายเพื่อจะมีสำนักงานในย่านธุรกิจของ Hong Kong นั่นแพงมาก หากคุณปรารถนาออฟฟิศที่เป็นจริงเป็นจัง มากกว่าจะเช่าบ้านแล้วให้พนักงานมาทำงานร่วมกัน หรือทำงานบน virtual office หรือไม่เช่นนั้นก็อาศัยทำงานใน Starbucks ซึ่งหลายต่อหลายคนทำกัน อย่าทรยศภรรยา ใน Hong Kong ผู้หญิงอาจสังหารสามีเธอได้ หากพบว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งกฎหมายยังให้การคุ้มครอง หากเธอทำด้วยมือเปล่า อากาศ Hong Kong หนาวเย็นมาก ด้วยประสบการณ์ที่เคยอยู่ในที่หนาวเย็นอย่าง Rexburg ใน Idaho และยังทราบด้วยว่าเกาะ Hong Kong ตั้งอยู่ในละติจูดเดียวกับ Hawaii และ Bahamas ทำให้เสื้่อผ้าที่อบอุ่นที่สุดที่ผู้เขียนนำติดตัวมาคือเสื้อกันลม ซึ่งต่อมาทำให้ผู้เขียนได้บทเรียนสำคัญ ว่าไม่เคยอยู่ในที่ใดที่หนาวเย็นเท่ากับ Hong Kong มาก่อนเลย ตัวอาคารที่นี่ไม่มีทั้งฉนวนกันความร้อน และระบบเครื่องฮีตเตอร์ประจำตึก แม้ว่าอุณหภูมิไม่ค่อยลงต่ำกว่า 40 องศาฟาเรนไฮต์สักเท่าไหร่ แต่ทว่าอุณหภูมิเบื้องนอก 40 องศาฯ ภายในตัวอาคารก็ 40 องศาฯ ด้วย ออฟฟิศในวันนั้นจะกลายเป็นวันอันแสนหนาวเหน็บทันที หากสวมแค่เสื้อสูท (เขาว่า) มีระบบเศรษฐกิจเสรีที่สุดในโลก Heritage Foundation (องค์กรการเมืองของฝ่าย Conservative ในสหรัฐฯ) จัดให้ Hong Kong มีระบบเศรษฐกิจที่เสรีที่สุดในโลก ตลอดช่วงระยะเวลา 20 ปี แต่มิได้หมายความว่าเกาะแห่งนี้จะเป็นสวรรค์ของพวกเสรีนิยมนะ มีคนเพียงหยิบมือจากตระกูลร่ำรวยที่ขับเคลื่อนเมืองนี้ ผ่านกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์และพาณิชยกรรม ตราบเท่าที่คุณยังไม่ได้ท้าทายผลประโยชน์ทางธุรกิจของพวกเขา คุณยังจะปลาบปลื้มกับอิสระเสรีต่อไป แต่หากคุณมาถึงเกาะแห่งนี้เพื่อเริ่มต้นเชนร้านสะดวกซื้อแห่งใหม่แล้วละก็ ลืมมันไปได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มี Walmart ใน Hong Kong แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีข้ามฝั่งมาจากแผ่นดินใหญ่ก็ตาม ความปลอดภัยและอายุขัยเฉลี่ย Hong Kong เป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุด และมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวที่สุดด้วย ผู้เขียนตระหนักได้ว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร คนที่นี่ทานแต่น้อย (ตามที่กล่าวไว้แล้ว ทุกอย่างในเกาะนี้เล็กหมด) และเดินมาก ในสองเดือนแรกของการใช้ชีวิต ผู้เขียนน้ำหนักตัวหายไปถึง 10 ปอนด์ อย่างไม่ได้ตั้งใจ ฉะนั้นแล้ว ขอให้นำรองเท้าคู่ที่ใส่สบายติดตัวมาด้วย ด้วยเหตุผลต่างๆ ทั้งหมดนี้ Hong Kong จึงเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับอยู่อาศัย พร้อมไปกับการทำธุรกิจเมืองหนึ่้งของโลกเรียบเรียงจาก What You Don't Know About Doing Business In Hong Kong โดย Joshua Steimle