ธุรกิจไม่โปร่งใส ฉุดรายได้ Gautam Adani ร่วง "อันดับ 3 มหาเศรษฐีโลก” - Forbes Thailand

ธุรกิจไม่โปร่งใส ฉุดรายได้ Gautam Adani ร่วง "อันดับ 3 มหาเศรษฐีโลก”

อันดับความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีชาวอินเดีย Gautam Adani ถึงกับสั่นคลอน หลังบริษัท Hindenburg Research ออกมาเปิดเผยข้อมูลทุจริต ไม่โปร่งใส และเข้าข่ายฟอกเงิน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเหล่านักลงทุนพร้อมใจกันเทขายหุ้นมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ฉุดรายได้เจ้าของอาณาจักร Adani Group จากเดิมอยู่อันดับ 3 ของมหาเศรษฐีโลกร่วงลงมาอยู่อันดับ 16 ภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์


    นี่คือไทม์ไลน์ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ที่มหาเศรษฐีชาวอินเดีย Gautam Adani ต้องสูญเสียเงินมูลค่ามหาศาลไปกว่า 5.17 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มบริษัทของเขาต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหาเรื่องการยักย้ายถ่ายเทหุ้นและการฉ้อฉลทางบัญชีหลังจาก Hindenburg Research บริษัทวิจัยการลงทุนสัญชาติอเมริกันคือผู้ที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเกี่ยวกับการทำธุรกิจของเขาที่ส่อแววทุจริต

24 มกราคม 2023

    Hindenburg Research ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลถึงการขายชอร์ตหุ้นของบริษัทในเครือ Adani Group พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าบรรดาธุรกิจและบริษัทต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดย Adani Group ในแคริบเบียน มอริเชียส และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นแหล่งอำนวยความสะดวกในการทำทุจริต ฟอกเงิน ขณะเดียวกันก็ยังยักยอกเงินระหว่างบริษัทจดทะเบียนในเครือซึ่งทำธุรกิจตั้งแต่ท่าเรือไปจนถึงโรงไฟฟ้า ถือเป็นการฉ้อฉลจากการทำธุรกิจในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา 

    ทั้งนี้ Hindenburg คือ บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบค้นการกระทำผิดทางการเงินและธุรกิจ และยังเชี่ยวชาญด้าน Short Selling หรือการขอยืมหุ้นราคาสูงมาขาย แล้วซื้อมาคืนในราคาที่ต่ำเพื่อเอากำไรจากส่วนต่างราคา ทำให้ผู้ซื้อขายหุ้นด้วยวิธีนี้จะได้กำไรเมื่อราคาหุ้นที่ซื้อไว้ short ราคาต่ำลง 

25 มกราคม 2023

    Jugeshinder Singh ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Adani Group ได้ออกมาโต้แย้งและปฏิเสธข้อกล่าวหาเชิงลบที่มีต่อบริษัทผ่านคลิปวิดีโอที่โพสต์ลง youtube ทางช่อง Adani Group โดยมีใจความหลักว่า “เป็นเรื่องที่น่าอดสูยิ่งนักที่รายงานของ Hindenburg มีความประสงค์ร้าย ให้ข้อมูลผิดพลาด อีกทั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ยังได้รับการตรวจสอบโดยศาลสูงสุดของอินเดียแล้วว่าไม่มีมูลความจริง” 

    ซึ่งในวันเดียวกันนี้สถานะความมั่งคั่งของ Gautam Adani จากเดิมที่มีอยู่ 1.264 แสนล้านเหรียญ ได้เริ่มดิ่งลงมาอยู่ที่ 1.20 แสนล้านเหรียญทันที โดยเป็นผลมาจากตลาดหุ้นในอินเดียตอบสนองต่อกระแสข่าวในเชิงลบขณะที่เขาก็ยังคงสถานะผู้มีความมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสามของโลก

26 มกราคม 2023
    Jatin Jalundhwala หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ Adani Group ออกแถลงการณ์ว่าบริษัทกําลังประเมินบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องภายใต้กฎหมายทั้งของสหรัฐฯ และอินเดียสําหรับการแก้ไขคำครหาและบทลงโทษต่อการวิจัยของ Hindenburg ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงมูลค่ารายได้สุทธิของ Adani แต่อย่างใดเนื่องจากตลาดหุ้นยังคงปิดทําการในวันชาติของอินเดีย

27 มกราคม 2023
    หุ้นบริษัทจดทะเบียนของ Adani Group ถูกเทขายเป็นจำนวนมากหลังตลาดกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ส่งผลให้มูลค่ารายได้สุทธิของมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 9.81 หมื่นล้านเหรียญ นี่จึงเป็นสาเหตุให้ชื่อของเขาหลุดจากโผรายชื่ออันดับ 3 มหาเศรษฐีโลก

29 มกราคม 2023
    กลุ่มบริษัท Adani Group จัดทำรายงานจำนวน 413 หน้า ออกมาโต้แย้งคำกล่าวหาของ Hindenburg Research โดยเรียกการกระทําดังกล่าวว่า "การโจมตีอินเดียที่คำนวณไว้ล่วงหน้า ทั้งเรื่องความเป็นอิสระ ความซื่อสัตย์ คุณภาพของสถาบันต่างๆ รวมทั้งเรื่องราวการเติบโตอย่างทะเยอทะยานของอินเดีย" 

    นอกจากนี้ รายงานของ Hindenburg ยังใช้คำครหาการดำเนินธุรกิจของ Adani Group ด้วยว่าสร้างภาพลักษณ์ฉากหน้าด้วยการประดับธงชาติของอินเดียเพราะมีความสนิทสนมเป็นอย่างดีกับ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีของประเทศ ขณะที่ฉากหลังได้ทำการทุจริตปล้นสะดมในประเทศอย่างเป็นระบบ

30 มกราคม 2023
    หุ้นของบริษัทจดทะเบียนเครือ Adani Group ยังคงได้รับผลกระทบจากการเทขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่ารายได้สุทธิของมหาเศรษฐี Adani ลดลงอีก 8.5 พันล้านเหรียญ เหลือ 8.82 หมื่นล้านเหรียญ

31 มกราคม 2023
    Adani Group ได้เสนอขายหุ้นผ่านการระดมทุนเพิ่มมูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาดจากการมีผู้จองซื้อหุ้นเต็มจำนวนโดยเป็นผลมาจากความช่วยเหลือของมหาเศรษฐีอินเดียรายอื่นๆ และจากสถาบันการลงทุนในตะวันออกกลาง ส่งผลให้มูลค่ารายได้สุทธิของ Adani ขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 8.91 หมื่นล้านเหรียญ

1 กุมภาพันธ์ 2023
    บริษัทจดทะเบียนของ Adani Group เจอผลกระทบครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อหุ้น Adani Enterprises ซึ่งถือเป็นหุ้นตัวใหญ่และยังเป็นเรือธงของบริษัทมีราคาหลังปิดตลาดร่วงลงมาอยู่ในแดนลบถึง 28.20% 

    ในวันนี้ Adani ต้องสูญเสียตำแหน่งมหาเศรษฐีผู้มีความมั่งคั่งที่สุดในเอเชียให้แก่เพื่อนร่วมชาติอดีตเจ้าของตำแหน่งคนก่อนอย่าง Mukesh Ambani และยังถูกเลื่อนลงมาอยู่ในอันดับ 15 ของรายชื่อมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 7.47 หมื่นล้านเหรียญ


2 กุมภาพันธ์ 2023
    หลังถูกกล่าวหาโดย Hindenburg ถึงการดำเนินธุรกิจที่ไม่โปร่งใส ล่าสุด Adani ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกด้วยการกล่าวยกเลิกแผนระดมทุนเพิ่มมูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญท่ามกลางภาวะตลาดปั่นป่วน ทั้งที่เพิ่งมีการประกาศแผนระดมทุนก่อนหน้าไปพียงไม่กี่วัน 

    ถ้อยแถลงของมหาเศรษฐีชาวอินเดียในครั้งนี้ ฉุดรายได้สุทธิของเขาให้ลดต่ำลงไปอีกเหลืออยู่ที่ 6.42 หมื่นล้านเหรียญ และรายชื่อของเขายังร่วงหล่นลงไปอยู่ในอันดับที่ 16 จากการจัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลกของ Forbes

มูลค่ามหาศาล

    ตัวเลข 1.07 แสนล้านเหรียญ คือ มูลค่าจากการประเมินของบริษัทจดทะเบียนในเครือ Adani Group ที่มีการปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ตามบันทึกการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg โดยทั้งหมดนี้เป็นผลมาจาก Hindenburg ได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลพร้อมตั้งขอสงสัยถึงการดำเนินธุรกิจที่เติบโตเร็วอย่างก้าวกระโดด

สถานการณ์ต่อไปที่ต้องจับตา

    นายกรัฐมนตรี Narendra Modi และรัฐบาลของอินเดียต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากพรรคฝ่ายค้านเกี่ยวกับความนิ่งเฉยหลังบริษัท Adani Group ถูกครหาถึงการดำเนินธุรกิจที่ไม่โปร่งใส เข้าข่ายปั่นหุ้น ตกแต่งบัญชีและมีการฟอกเงิน โดยล่าสุดสำนักข่าว Reuters ยังรายงานด้วยว่า ได้ติดต่อกับคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอินเดีย (SEBI) เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

    โดยหน่วยงานกํากับดูแลที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะจัดทํารายงานต่อรัฐบาลในเร็วๆ นี้ รวมถึงธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จะขอรายละเอียดจากธนาคารในประเทศเกี่ยวกับการเปิดรับกองทุน Adani Group รวมถึงหลักประกันที่ใช้ในการคืนเงินกู้ให้กับกลุ่มบริษัทต่อไป

แปลและเรียบเรียงจากบทความ: 
How Gautam Adani Lost More Than $50 Billion In A Week—And His Ranking As Asia’s Richest 
ซึ่งเผยแพร่บน forbes.com


อ่านเพิ่มเติม: เปิดปี 2023 บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ ลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงาน


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine