‘Hello World!’ คำทักทายสั้นๆที่ส่งหาชาวโลก (อินเทอร์เน็ต) เมื่อ 20 ปีก่อนจะกลายมาเป็นเว็บไซต์คลังความรู้ชื่อดังอย่าง Wikipedia ในปัจจุบัน พร้อมพาคุณย้อนกลับไปเมื่อวันที่เว็บไซต์นี้เปิดตัวเป็นครั้งแรก และให้คุณสวมบทบาทเป็นผู้แก้ไขคนแรกในรูปแบบของ NFT แล้ว
Jimmy Wales ผู้ร่วมก่อตั้ง Wikipedia ได้นำวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์โลกอินเทอร์เน็ต 2 ชิ้นขึ้นประมูล วัตถุ 2 ชิ้นนั้นคือเครื่อง Strawberry iMac ที่เขาใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์คลังความรู้อย่าง Wikipedia และการแก้ไขครั้งแรกบนหน้าวิกิในรูปแบบของ NFT ที่พึ่งนำขึ้นสู่ระบบล็อกเชนแบบสดๆ ร้อนๆ การประมูลครั้งนี้มี Christie’s เป็นผู้ดำเนินการ โดยเปิดให้ประมูลตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 15 ธันวาคม และ Wales กล่าวว่าจะนำรายได้จากการประมูลไปพัฒนาโซเชียลเร็ตเวิร์คน้องใหม่ที่ไร้โฆษณา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2001 Wales ได้เปิดตัว Wikipedia และเมื่อโปรเจ็กต์แบบเปิดที่ใครๆ ก็สามารถเข้ามาแก้ไขเข้าใช้งานได้ สิ่งแรกที่ Wales พิมพ์ลงไปบนหน้าเว็บไซต์นั้นคือ ‘Hello World!’ และประโยคทักทายนั้นก็ได้กลายเป็นผลงาน NFT ที่ทาง Wales จับมือกับ Christie’s ในการเปิดประมูล

NFT ดี ไม่ดี ยังไงกัน
มีหลายคนที่เกลียด NFT ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการ Wales กล่าวว่าเขาเข้าใจและรู้ว่ามันมีสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจคอยมองดูการเทรดไฟล์ JPEG อยู่ตอนนี้ แต่ตัวเขาเองก็ไว้วางใจเทคโนโลยีอยู่ระดับหนึ่งเลย “มันจะมีทั้งของโง่ๆ และแย่ๆ อยู่เต็มไปหมดอยู่แล้ว” เขากล่าว “แต่มันก็มีสิ่งที่น่าสนใจท่ามกลางทุกอย่างนี้อยู่เหมือนกัน” ในส่วนของประเด็นสงครามระหว่างเหล่า NFT bros และ Right-clickers (พวกที่ชอบบันทึกผลงาน NFT แบบฟรีๆ) Wales กล่าวว่างานประมูล JPEG ทั้งหลายมันไม่เท่ากัน “ลองเอามีม Disaster Girl เป็นตัวอย่างนะ” เขากล่าวถึงมีมอันโด่งดังที่เป็นรูปเด็กผู้หญิงยืนอยู่หน้าบ้านที่กำลังลุกเป็นไฟ และหันมามองกล้องด้วยสีหน้าแบบพึงพอใจสุดๆ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine