สำหรับชาว Wall Street ส่วนใหญ่ “รัฐบาล” ถือเป็นคำระคายหู แต่เศรษฐีพันล้านนักลงทุนในหุ้นนอกตลาด Ramzi Musallam แห่ง Veritas Capital พลิกโศกนาฏกรรมให้กลายเป็นความมั่งคั่งในทำเนียบ Forbes 400 ด้วยการเข้าถึงความต้องการของผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในเศรษฐกิจโลก
Ramzi Musallam กลับมาที่โต๊ะทำงานหลังจากไปห้องน้ำแค่ครู่เดียวเมื่อวันที่ 10 กันยายน ปี 2012 แล้วเห็นผู้ช่วยของเขาตัวสั่นเทิ้ม เธอบอกเขาว่า มีโทรศัพท์เข้ามาแจ้งว่า Robert McKeon เจ้านายวัย 58 ปี ของ Musallam เพิ่งฆ่าตัวตายอยู่ที่คฤหาสน์ของเขาทางใต้ของรัฐ Connecticut Musallam โดดขึ้นรถและรีบบึ่งจากย่าน Midtown Manhattan ไป 40 ไมล์ตามทางหลวงสาย I-95 จนถึงเมือง Darien รัฐ Connecticut เขาสนิทกับ McKeon และรู้ว่าเจ้านายกำลังมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต แต่ Musallam ไม่เคยคิดว่า McKeon จะฆ่าตัวตายเพราะเขาเป็นคนเข้มแข็งมาก ความมุมานะของ McKeon พาเขาไต่เต้าจากถนนในย่าน Bronx ที่พ่อของเขาเคยเป็นพนักงานส่งของให้ Drake’s Cakes เพื่อหาเลี้ยงลูก 7 คนจนขึ้นมาอยู่แถวหน้าในแวดวงการเงินได้สำเร็จ Musallam จึงตกใจกับเรื่องนี้มาก “มันเป็นความสูญเสียใหญ่หลวง” Musallam เล่า “ตั้งแต่ผมรู้จักเขามาเราก็ทำงานด้วยกันมาตลอด มันทำใจยาก ผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน” แม้อเมริกันดรีมของ McKeon จะกลายเป็นฝันร้าย แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Musallam โตทะยานขึ้น เขากลับมาที่สำนักงานเพื่อวางแผนยับยั้งไม่ให้ Veritas Capital บริษัทไพรเวทอิควิตี้ที่ McKeon ก่อตั้งในปี 1992 ต้องล่มสลาย Musallam เริ่มทำงานที่นี่เมื่อปี 1998 และเป็นผู้บริหารอันดับ 2 ของ Veritas เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเจ้านายฆ่าตัวตาย Musallam ก็เริ่มเรียกประชุมฉุกเฉินกับนักลงทุนของบริษัท การเสียชีวิตของ McKeon หมายความว่า จู่ๆ นักลงทุนก็จะมีสิทธิ์ฉีกสัญญาสนับสนุนเงินทุนที่จะให้ Veritas ใช้ซื้อกิจการ แต่ Musallam กล่อมให้พวกนักลงทุนเปลี่ยนมาเดิมพันกับเขาแทน และ Musallam ยังเจรจากับครอบครัวของ McKeon ให้ขายหุ้นส่วนใหญ่ใน Veritas ให้เขาด้วย ซึ่งหลายปีต่อมาข้อตกลงที่ทำอย่างรีบร้อนในครั้งนั้นก็ทำให้เกิดเรื่องบาดหมางและคดีความระหว่าง Musallam กับครอบครัวของ McKeon แต่สิ่งที่เขาลงมือทำในตอนนั้นกลายเป็นรากฐานให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างงดงามใน Wall Street เกือบ 10 ปีให้หลังสินทรัพย์ของ Veritas Capital เพิ่มจาก 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2012 เป็น 3.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2021 และเงินทุนของบริษัทก็สร้างอัตราผลตอบแทนภายในสุทธิ (IRR) สูงมากถึง 31 เปอร์เซ็นต์ จากหลากหลายกองทุนของบริษัทนี้ขาดทุนจากการลงทุนแค่รายการเดียว (87 ล้านเหรียญในบริษัทแผงโซลาร์แห่งหนึ่งในรัฐ New Mexico) และตั้งแต่ Musallam เข้ามาบริหาร Veritas จ่ายปันผลให้นักลงทุนของบริษัทไปแล้ว 1.2 หมื่นล้านเหรียญ Musallam วัย 53 ปีมีทรัพย์สินประมาณ 4 พันล้านเหรียญ ซึ่งมากพอจะช่วยให้เขาเข้าทำเนียบ Forbes 400 ได้เป็นครั้งแรกในปี 2021 Musallam สร้างสถิตินี้ได้ด้วยการเน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งทำธุรกิจอยู่ในวงการที่ครอบครองโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านกลาโหม สาธารณสุข และการศึกษา การใช้จ่ายเงินปีละ 6.8 ล้านล้านเหรียญของอเมริกาและอำนาจมหาศาลด้านการกำกับดูแลทำให้รัฐบาลเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างไร้คู่เปรียบในตลาดเหล่านี้ แต่ในขณะที่บริษัทนักซื้อกิจการจำนวนมากพยายามเลี่ยงการลงทุนในธุรกิจที่ถูกรัฐบาลแทรกแซง Musallam กลับใช้กลยุทธ์ที่อาศัยความเข้าใจว่าผู้เล่นซึ่งมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากที่สุดรายนี้จะทำอะไรต่อไป “ผมกับบริษัทพยายามคลุกวงในกับรัฐบาลให้มากๆ เพราะรัฐบาลคือด่านหน้าของความยุ่งยากซับซ้อนและปัญหาทุกอย่างที่เราต้องเผชิญ” Musallam กล่าวขณะนั่งให้สัมภาษณ์ในออฟฟิศของเขาที่ Manhattan ทิวทัศน์มุมกว้างของ Central Park ช่วยย้ำถึงระยะทางอันห่างไกลจากกรุง Washington, D.C. “รัฐบาลมีอิทธิพลในตลาดเหล่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย และการได้รับรู้ใกล้ชิดว่ารัฐบาลมองตลาดเหล่านี้ อย่างไรก็ช่วยให้เราเข้าใจว่าต้องลงทุนอย่างไรถึงจะดีที่สุด” Samih Musallam พ่อของ Ramzi เป็นชาวปาเลสไตน์ที่นับถือศาสนาคริสต์ เขามาขึ้นฝั่งที่เมือง New York ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 หลังสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งแรกในปี 1948 ไม่นานนัก คืนแรกที่เขาพักอยู่ที่ YMCA สัมภาระของเขาถูกขโมยไปหมด แต่เขาไม่ย่อท้อและในที่สุดเขาก็ได้ปริญญาวิศวกรรมโยธาจาก University of Missouri ก่อนจะไปตั้งรกรากและเจริญก้าวหน้าอยู่ที่เมือง Effingham รัฐ Illinois เมื่อถึงกลางทศวรรษ 1960 Samih ซึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วย้ายกลับตะวันออกกลาง หลังจากนั้นลูกชายคนที่ 2 ชื่อ Ramzi ก็เกิดในปี 1968 ที่กรุง Amman ของจอร์แดน Samih Musallam ได้ทำงานในเหล่าทหารช่างของกองทัพบกสหรัฐฯ จำเป็นต้องพาครอบครัวย้ายไปเรื่อยๆ Ramzi จึงใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในตลาดเกิดใหม่อย่างซาอุดีอาระเบียและแทนซาเนีย “เราอยู่ห่างไกลความเจริญจริงๆ แถวนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีสักอย่าง” Musallam เล่าถึงช่วงหลายปีที่เขาอยู่ในแอฟริกา “เราเรียนหนังสือที่บ้านและเรียนผ่านไปรษณีย์ สมัยนั้นยังไม่มีไอแพด เราทำการบ้านแล้วแม่ก็จะส่งไปรษณีย์ไปให้ครู” Musallam กล่าวว่า ประสบการณ์ช่วงนั้นถือเป็นหลักสูตรซึมซับวิธีบริหารความสัมพันธ์กับผู้คนจากพื้นเพวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน สอนให้เขาใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น และมีความอดทน ครั้งหนึ่งครอบครัวของเขาเคยถูกปืนจ่อในแทนซาเนียและถูกกองโจรปล้นบนถนนดิน “ผมนึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ” เขาเล่า ช่วงที่ Musallam เรียนระดับมัธยมศึกษา ครอบครัวของเขากลับมาอยู่สหรัฐฯ ที่ชุมชน Pine Brook รัฐ New Jersey เขาเรียนจบเศรษฐศาสตร์ที่ Colgate University และเริ่มงานใน Wall Street โดยเป็นวาณิชธนากรที่ JPMorgan ในปี 1990 ก่อนจะโดดไปทำงานกับ Berkshire Partners บริษัทจัดการเงินลงทุนที่เชี่ยวชาญกิจการเฉพาะทางในอีก 2 ปีต่อมา จากนั้นเขาไปเรียนต่อด้านธุรกิจที่ University of Chicago และคุยไปคุยมาจนได้งานในสายการลงทุนของ Jay Pritzker เศรษฐีพันล้านผู้สร้างเครือโรงแรม Hyatt Hotels เมื่อเขาเรียนจบในปี 1998 Musallam มุ่งหน้าไป New York แล้ว Robert McKeon ก็จ้างเขาทำงาน 6 ปีต่อมา McKeon ก่อตั้ง Veritas Capital หลังลาออกจาก Wasserstein Perella & Co. ธนาคารเพื่อการลงทุนรุ่นบุกเบิกที่มีผู้ร่วมก่อตั้ง คือ Bruce Wasserstein ซึ่งได้รับการจารึกไว้เป็นอมตะในบทความของ Forbes ปี 1989 ชื่อเรื่อง “Bid’em Up Bruce” (Bruce จอมดันราคาประมูล) ที่บรรยายว่า เขามักโน้มน้าวให้ลูกค้าของบริษัทจ่ายเงินซื้อกิจการเป้าหมายแพงเกินควร McKeon บริหารสายธุรกิจไพรเวทอิควิตี้ที่ประสบความสำเร็จของ Wasserstein Perella และเริ่มเบื่อที่จะต้องมอบกำไรส่วนใหญ่ที่หน่วยธุรกิจของเขาทำได้ให้ Bruce Wasserstein McKeon ถือหุ้นใหญ่ใน Veritas และระดมเงินลงทุนแบบครั้งต่อครั้งจากเครือข่ายของเหล่าซีอีโอซึ่งรวมถึง George Keller จาก Chevron และ Harold “Red” Poling จาก Ford หุ้นส่วนคนเดียวของ McKeon คือ Thomas Campbell เพื่อนนายธนาคารผู้ออกจาก Wasserstein Perella มาพร้อมเขาเพื่อช่วยกันก่อตั้ง Veritas แต่ถูก McKeon ผลักออกประตูไปในปี 2007 Musallam ดัน McKeon ไปใน 2 ทิศทางใหม่ ทิศทางแรกคือ เขาช่วยกล่อมให้ McKeon เปลี่ยนจากการระดมทุนครั้งต่อครั้งมาเป็นการระดมทุนไพรเวทอิควิตี้จากเหล่านักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีเงินสดพอใช้ไปอีกหลายปี การทำเช่นนี้ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นและช่วยให้ธุรกิจโต ทิศทางที่ 2 คือ Musallam มองออกว่าพวกผู้รับเหมางานด้านกลาโหมคือ เป้าหมายการซื้อกิจการอันอุดมสมบูรณ์สำหรับกองทุนที่พร้อมทำใจกับการรับมือเรื่องแปลกประหลาดเฉพาะตัวในการทำสัญญากับรัฐบาล Veritas เริ่มต้นจากการเข้าซื้อ PEI Electronics บริษัทผลิตยุทโธปกรณ์จากเมือง Huntsville รัฐ Alabama แล้วปั้นต่อจนกลายเป็นบริษัท Integrated Defense Technologies ซึ่ง Veritas นำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ New York ในปี 2002 ข้อตกลงทางธุรกิจในกลาโหม จึงกลายเป็นแหล่งหากินของ Veritas และเมื่อ McKeon เจอบริษัทที่มีอนาคตโดดเด่นเขาจะเลียนแบบ Bruce Wasserstein ด้วยการหาเงินเพิ่มให้ตัวเอง เขาเคยได้เงินไปส่วนตัว 350 ล้านเหรียญจาก DynCorp ผู้รับเหมาของกองทัพที่เขาขายไปในปี 2010 ในเดือนมกราคม ปี 2013 ครอบครัวของ McKeon ตกลงโอนหุ้นของ Veritas ให้ Musallam โดยแลกกับ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินได้จากยอดขายในอนาคตทั้งหมดของบริษัทจัดการกองทุนและห้างหุ้นส่วนทั่วไปอีก 3 แห่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทุนที่ Veritas มีอยู่ ขณะเดียวกัน ครอบครัวจะได้รับค่าตอบแทนตามผลงานของ McKeon ในสัดส่วนที่ลดลงสำหรับกองทุนที่ Veritas มีอยู่ และจะได้ค่าตอบแทนตามผลประกอบการที่ 5 เปอร์เซ็นต์จากกองทุนที่จะตั้งใหม่ในอนาคตอีก 2 กองด้วย งานนี้ถือเป็นชัยชนะอย่างสมบูรณ์สำหรับ Musallam เพราะบริษัทยังเดินหน้าต่อไปได้โดยมีเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และซีอีโอ Musallam หมกมุ่นกับเรื่องการเปลี่ยนบันทึกข้อมูลสุขภาพเป็นระบบดิจิทัลมาหลายปีแล้ว สิ่งที่เริ่มทำให้เขาหันมองไอเดียการจับมือกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนในงานไอทีเพื่อสาธารณสุขคือ การได้สนทนากับ Kerry Weems ซึ่งบริหารโครงการ Medicare ให้รัฐบาลของ George W. Bush ซึ่ง Musallam มักชอบอยู่ใกล้คนอย่าง Weems ที่คุมงบประมาณก้อนใหญ่ที่สุดก้อนหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐฯ Veritas เริ่มลองตลาดนี้ในปี 2007 ด้วยการซื้อหุ้นบริษัทผู้ให้บริการงานไอทีสาธารณสุขชื่อ Vangent เป็นรายแรก แล้วขายให้ General Dynamics ใน 4 ปีต่อมาโดยได้กำไรไป 350 ล้านเหรียญ “สาธารณสุขมีระบบที่บกพร่อง” Musallam กล่าว “แต่ผมมีความเชื่อพื้นฐานว่าเทคโนโลยีจะช่วยปรับปรุงได้” ในปี 2012 Musallam ชักจูงยักษ์ใหญ่ด้านข้อมูล Thomson Reuters ให้เข้าซื้อกิจการที่สร้างขึ้นเพื่อให้บริการข้อมูลการเคลมประกันและค่ารักษาพยาบาลแก่โรงพยาบาลและบริษัทประกันต่างๆ เพราะ Musallam มั่นใจว่า Veritas จำเป็นต้องลงทุนขนานใหญ่ในธุรกิจข้อมูลสุขภาพ หลังจากลงทุนไป 465 ล้านเหรียญบวกกับการกู้เงินเพิ่ม Veritas ก็ซื้อกิจการของกลุ่มบริษัทนี้มาได้ในด้วยมูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของ Veritas Musallam เปลี่ยนชื่อหน่วยธุรกิจนี้ของ Thomson Reuters เป็น Truven Health Analytics และเริ่มใช้เงินลงทุนก้อนใหม่อีก 165 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนบริษัทจากการเป็นผู้ให้บริการข้อมูลทั่วไปมาเป็นกิจการที่ช่วยให้ลูกค้าเรียนรู้การให้บริการที่ดีขึ้น พร้อมกับลดค่าใช้จ่ายและความสิ้นเปลืองลง และเพื่อให้เห็นผลเร็วขึ้น Veritas จึงให้ Truven จับคู่กับบริษัทซอฟต์แวร์ข่าวกรองด้านกลาโหมที่ Veritas ซื้อมาจาก Lockheed Martin ซึ่งพัฒนาอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากระดับเพตะไบต์ได้ Veritas เป็นบริษัทซื้อกิจการที่เน้นลูกค้าภาครัฐ ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ค่อยมีใครทำ บริษัทนี้ไม่จ้างอดีตนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนสำคัญ แต่ Musallam ชอบใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์หลายทศวรรษมากกว่า เขาใช้เวลามากมายไปกับการเข้าฟังบรรยายสรุปใน “ห้องประชุมย่อยที่มีข้อมูลลับระดับความอ่อนไหวสูง” (Sensitive Compartmented Information Facilities หรือ SCIFs) ที่จัดโดยกองทัพ ซึ่งผู้เข้าฟังต้องมีสิทธิ์เข้าถึงความลับระดับสูงสุดและไม่อนุญาตให้พกโทรศัพท์มือถือเข้าไป “รัฐบาลสหรัฐฯ คือ นักลงทุนด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดอย่างไม่มีใครเทียบได้ โดยใช้เงินคิดเป็นหลายเท่าของเงินทั้งหมดที่ชุมชนนักร่วมลงทุนใช้กัน และหน่วยงานหลายสิบแห่งของรัฐบาลกลางก็เข้าลงทุนในบริษัทต่างๆ โดยตรง” Musallam กล่าว “ธุรกิจมากมายที่เรารู้จักกันดีมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินทุนวิจัยและพัฒนาโครงการที่ได้จากรัฐบาล ทั้ง Google, Apple และอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ใน iPhone ของคุณ Tesla ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง รวมทั้งพวกบริษัทด้านอวกาศต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกับรัฐบาลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” สายงานความปลอดภัยไซเบอร์ที่กำลังเฟื่องฟูเป็นอีกอย่างที่ Veritas สนใจ ในปี 2014 Musallam ซื้อสตาร์ทอัพด้านความปลอดภัยที่กำลังถังแตกชื่อ BeyondTrust โดยลงทุน 145 ล้านเหรียญในการเข้าซื้อกิจการมูลค่า 310 ล้านเหรียญ จากนั้น Veritas ก็ให้ BeyondTrust เร่งการใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาขึ้นราว 44 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งสามารถช่วยลูกค้าหยุดยั้งทั้งพนักงานที่คิดไม่ซื่อและคนร้ายจากภายนอกไม่ให้เจาะเข้าระบบได้ รายได้ของ BeyondTrust โตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี และในปี 2018 Veritas ก็ขายกิจการไป 755 ล้านเหรียญ ทำเงินได้ 3.8 เท่าของเงินที่ลงทุนไป ขาข้างหนึ่งของ Musallam ยังปักหลักอยู่ในธุรกิจด้านกลาโหม ในปี 2015 Veritas พร้อมด้วยผู้ร่วมลงทุนกลุ่มหนึ่งลงทุน 845 ล้านเหรียญเพื่อซื้อ StandardAero บริษัทซ่อมอากาศยานและยานอวกาศที่กำลังทุลักทุเลมาจาก Dubai Aerospace ด้วยข้อตกลงมูลค่า 2.1 พันล้านเหรียญ Musallam เพิ่งระดมทุนมาได้ 1.9 พันล้านเหรียญสำหรับกองทุนใหม่ของ Veritas ที่เขาดูแลเองเป็นกองทุนแรกและนำเงินก้อนใหญ่ในจำนวนนั้นมาวางเดิมพันกับบริษัทจากเมือง Scottsdale รัฐ Arizona แห่งนี้ StandardAero ขยายธุรกิจในยุโรปและเอเชียอย่างรวดเร็ว โดยหลังจากบริษัทพัฒนาวิธีลดเวลาซ่อมเครื่องยนต์ไอพ่นได้ไม่นาน บริษัทก็ได้สัญญาใหม่กับรัฐบาลมาหลายฉบับ ในปี 2019 Musallam ขาย StandardAero ให้ Carlyle Group ด้วยราคา 5.3 พันล้านเหรียญ ซึ่งเกิน 3 เท่าของเงินทุนที่ Veritas ลงไปในตอนแรก เมื่อถึงปี 2019 Veritas ก็ไปได้สวย ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Preqin ชี้ว่า กองทุนเพื่อการเข้าซื้อกิจการทั้ง 5 กองของบริษัทมีผลประกอบการติดกลุ่มดีที่สุดของวงการ ขณะเดียวกัน ตลาดกระทิงยักษ์ในปีนั้นก็มีนักลงทุนมายืนต่อคิวรอเป็นเจ้าของหุ้นของเหล่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดใน Wall Street และในปี 2020 Dyal Capital จาก New York ก็ติดต่อ Musallam เพื่อขอซื้อหุ้นในบริษัทของเขา ในเดือนตุลาคม ปี 2020 Musallam ตกลงขายหุ้น Veritas 11.8% ให้ Dyal 725 ล้านเหรียญด้วยเงินสดบวกของแถมคือ การให้ Veritas กู้เงินได้อีก 200 ล้านเหรียญ ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้ถือเป็นลาภลอยสำหรับ Musallam และหุ้นส่วนของเขาใน Veritas ที่ได้เงินส่วนใหญ่เข้ากระเป๋า Veritas มีมูลค่าประเมินในการซื้อขายครั้งนี้ 6.2 พันล้านเหรียญ และ Musallam ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โชคไม่ดีที่การขายหุ้นให้ Dyal ไปขัดใจทายาทของ Robert McKeon ครอบครัวนี้จึงฟ้องร้อง Musallam เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ฐานละเมิดสัญญา โดยอ้างว่าข้อตกลงเรื่องเงินกู้ 200 ล้านเหรียญเป็นสิ่งที่คิดขึ้นมาเพื่อโกงพวกเขาไม่ให้มีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่ง 10% จากยอดขายใดๆ ก็ตามของบริษัท ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 20 ล้านเหรียญ แต่ศาลสูงแห่งรัฐ New York สั่งยกฟ้องคดีนี้ในเดือนกันยายน ในช่วงที่ Musallam ต้องรับมือกับครอบครัวของ McKeon เขานั่งทำงานที่โต๊ะใกล้กับภาพขนาดใหญ่ของ Samih พ่อของเขาซึ่งเสียชีวิตไป 1 ทศวรรษแล้ว ภาพนี้คือเครื่องเตือนใจว่าอเมริกันดรีมยังคงเป็นสิ่งดี แต่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ต้องการอะไรมากกว่าแค่ความมั่งคั่งมหาศาล “พ่อทำสิ่งที่เราเคยแต่ได้ฟังและได้อ่าน ท่านนั่งเรือมาถึง New York” Musallam กล่าว “พ่อยังคอยดูแลและเฝ้ามองผมอยู่” เรื่อง: NATHAN VARDI และ HANK TUCKER เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง ภาพ: JAMEL TOPPINคลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine