The Fintech 50 พลิกโฉมอนาคตโลกการเงิน ตอนที่ 1 - Forbes Thailand

The Fintech 50 พลิกโฉมอนาคตโลกการเงิน ตอนที่ 1

FORBES THAILAND / ADMIN
03 Aug 2016 | 03:05 PM
READ 1272

เช่นเดียวกับที่ Amazon เปลี่ยนวิธีการซื้อสินค้าของเรา และ Apple คิดใหม่ทำใหม่ในการจัดการกับธุรกิจเพลง อีกไม่นานนับจากนี้การพลิกโฉมหน้าการทำธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจะส่งผลกระทบต่อเงินทองของคุณในทุกมิติ ไล่เรียงตั้งแต่การหาเงินการเก็บออม การลงทุน ไปจนถึงการใช้จ่ายเงิน ซึ่งอาจจะเป็นการพลิกโฉมแบบฉับพลันทันใด (เช่นเดียวกับนักลงทุนสายควอนต์ผู้ปราดเปรื่องในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท) หรืออาจเป็นแบบปรกติที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (การปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจขนาดเล็กจะทำได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง)

แต่ไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้าง โดยเทคโนโลยีรูปแบบใหม่จะก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญ และส่งผลกระทบต่อรายได้ของกล่มธุรกิจบริการด้านการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งบันทึกกำไรก่อนภาษีในปีที่ผ่านมาสูงถึง 281 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากรายงานข้อมูลของ CB Insights พบว่าบรรดานักลงทุนเงินร่วมลงทุนและลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทต่างมองเห็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้การลงทุนในกิจการของฟินเทคสตาร์ตอัพในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2015 มีมูลค่าสูงถึง 10.5 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการลงทุนเพียง 3.9 พันล้านเหรียญในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จริงอยู่ว่าเราคงจะลงทุนในกิจการของฟินเทคสตาร์ตอัพพวกนี้ไม่ได้ทั้งหมด แต่คุณจำเป็นต้องเกาะกลุ่มไปกับ 50 บริษัทแรกที่มีชื่อติดอันดับ เพื่อจะได้ก้าวทันเทคโนโลยีที่พวกเขากำลังคิดประดิษฐ์ขึ้นเพราะบริษัทเล็กๆ กลุ่มนี้นี้กำลังจะสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้โลกการเงินในอนาคตของพวกคุณ ถ้าหากไม่ระวังให้ดีพอร์ตการลงทุนของคุณอาจจะดูไม่จืดเลยทีเดียวและเหล่านี้คือบริษัทเด่นที่ไม่อาจมองข้าม เรียบเรียง: ชนกานต์ อนันตคุณากร ภาพ: CHRISTIAN PEACOCK, JONATHAN KOZOWYK ธนาคารสำหรับบิตคอยน์ (Bitcoin) บริษัท Xapo ตั้งอยู่ที่เมือง San Francisco ธุรกิจเก็บรักษา Bitcoin ให้บรรดานักลงทุนผู้มั่งคั่งในเซิร์ฟเวอร์ที่มีการเข้ารหัสและตั้งกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วโลก และบริการกระเป๋าเงินดิจิทัลสำหรับซื้อสินค้าและบริการแบบออนไลน์ของกลุ่มผู้บริโภคในประเทศที่พัฒนาแล้ว เครดิตผลงาน: ธนาคารสำหรับ Bitcoin ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและปลอดภัยสูงสุด ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง: Wences Casares อายุ 41 ปี การระดมทุน: 41 ล้านเหรียญจาก Benchmark Capital / Greylock Partners /Rabbit Capital / Jerry Yang / Max Levchin มูลค่ากิจการ: 120 ล้านเหรียญ (โดยประมาณ) ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ: เหล่าแฮกเกอร์ที่คอยจ้องเล่นงาน Bitcoin Wences Casares ก่อตั้งบริษัท Xapo ร่วมกับ Federico Murrone เพื่อหาวิธีที่จะเก็บรักษาเงิน Bitcoin ของตนให้ปลอดภัย Xapo จะเก็บรักษาเงิน Bitcoin ไว้ในเซิร์ฟเวอร์จำนวนหนึ่งที่ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยเซิร์ฟเวอร์พวกนี้จะถูกเข้ารหัสและนำไปเก็บไว้ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงบังเกอร์ทหารที่ไม่ได้ใช้งานในเทือกเขา Alps ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บรรดานักลงทุนผู้มั่งคั่งทั้งที่เป็นนักลงทุนบุคคลธรรมดาและนักลงทุนสถาบัน เข้ามาเป็นลูกค้าของ Xapo ถึงร้อยละ 96 ของลูกค้าทั้งหมดเพื่อใช้บริการเก็บรักษาเงิน Bitcoin โดยร้อยละ 98 ของลูกค้า Xapo มีถิ่นฐานในประเทศอินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย รัสเซีย และในประเทศที่พัฒนาแล้ว คนพวกนี้ไม่มีเครดิตการ์ด และต้องการใช้ประโยชน์จากสกุลเงิน Bitcoin เพื่อทำธุรกรรมเล็กๆ บนโลกออนไลน์ เมื่อถูกถามว่า “คุณคิดว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินที่มีอนาคตหรือไม่” Casares ตอบว่า “ผมคิดว่าในอนาคตธนาคารจะต้องก้าวผ่านช่วงเวลาที่มีการใช้บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ Bitcoin หรือบางทีธนาคารอาจต้องสร้างอะไรขึ้นบางอย่างเพื่อใช้เอง”– โดย Laura Shin       อวสานระบบผูกขาดข้อมูลเครดิต บริษัท Credit Karma ในเมือง San Francisco ธุรกิจให้บริการตรวจสอบคะแนนเครดิตและรายงานข้อมูลเครดิตแก่ผู้บริโภคโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเครดิตผลงาน: นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ชาวอเมริกันหันมาตรวจสอบคะแนนเครดิตของตนกับ Credit Karma มากกว่า 1 พันล้านครั้ง ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง: Kenneth Lin อายุ 40 ปี มีประสบการณ์ทางธุรกิจอย่างโชกโชนตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ที่ Upromise และ E-LOAN การระดมทุน: 368.5 ล้านเหรียญจาก Google Capital /Tiger Global Management / Ribbit Capital มูลค่ากิจการ: 3.5 พันล้านเหรียญในการประเมินมูลค่าครั้งหลังสุดในเดือนมิถุนายน ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ: สำนักข้อมูลเครดิตที่ประกอบธุรกิจให้บริการตรวจสอบคะแนนเครดิตและรายงานข้อมูลเครดิต รวมถึง Fair Isaac ผู้ให้บริการตรวจสอบคะแนนเครดิต FICO “คนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชมและรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เราทำในการพลิกโฉมระบบให้บริการตรวจสอบคะแนนเครดิต แต่ผมมองว่าสิ่งที่พวกเราลงทุนลงแรงยิ่งใหญ่กว่านั้นหลายเท่า” ในปี 2003 สภาคองเกรสผ่านกฎหมายเพื่อให้สิทธิแก่พลเมืองอเมริกันในการขอรายงานข้อมูลเครดิตปีละหนึ่งครั้งจากสำนักข้อมูลเครดิตโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยุคที่ยังไม่มีบริษัท Credit Karma พลเมืองอเมริกันต้องเสียเงินหากต้องการดูรายงานข้อมูลเครดิต (Credit Karma ได้ให้บริการตรวจสอบคะแนนเครดิตที่เรียกว่า VantageScore พัฒนาโดยสำนักข้อมูลเครดิต 3 แห่ง ซึ่งเป็นคนละประเภทกับคะแนนเครดิต FICO ที่ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่นิยมใช้) ครั้นมี Credit Karma พลเมืองอเมริกันราว 45 ล้านคน (1 ใน 5 ของจำนวนประชากรที่มีประวัติข้อมูลเครดิต) สมัครใช้บริการแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อขอรายงานข้อมูลเครดิตและตรวจสอบคะแนนเครดิตของตนเอง –โดย Lauren Gensler     กูรูสมองกลด้านการเงิน บริษัท Kensho ในเมือง Cambridge รัฐ Massachusetts ธุรกิจให้บริการบทวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีต่อตลาดทุน โดยอาศัยการผสมผสานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เข้ากับเทคนิคต่างๆ ที่ประมวลผลโดยอาศัยการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ เครดิตผลงาน: หน่วยสืบราชการลับของประเทศสหรัฐอเมริกา (CIA) เป็นลูกค้าซอฟต์แวร์ของบริษัท ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง: Daniel Nadler อายุ 32 ปี การระดมทุน: 58 ล้านเหรียญจาก Goldman Sachs / Google Ventures / General Catalyst / CNBC / Accel Partners / Fidelity Investments / Breyer Capital / IQT ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจเงินร่วมลงทุนของ CIA มูลค่ากิจการ: 500 ล้านเหรียญ ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ: ธุรกิจที่วิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ซื้อขายหุ้นโดยอาศัยข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ Daniel Nadler จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard วิทยานิพนธ์ที่เขาเลือกทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศ Nadler มีความคิดที่จะทำซอฟต์แวร์ Kensho ในปี 2013 ช่วงที่เขาเป็นอาจารย์แลกเปลี่ยนที่ Boston Federal Reserve เขาเล่าว่า “ผมรู้สึกทึ่งว่าโลกของเรานี้มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประกาศแถลงการณ์ต่างๆ ของธนาคารกลาง การเลือกตั้งในยุโรป วิกฤติหนี้สินของประเทศต่างๆ เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และอื่นๆ อีกมากมาย แต่แล้วเราก็มักจะหันไปหาใครสักคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และพูดว่า.แกจำได้ไหมว่าเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แล้วผลกระทบที่เกิดกับตลาดหุ้นในตอนนั้นเป็นอย่างไร” ซอฟต์แวร์ Kensho มีรูปแบบการทำงานแบบเดียวกับ เว็บไซต์ Google ซึ่งทำหน้าที่หาคำตอบให้ทุกคำถามที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เช่น หุ้นประเภท “defensive stock” อย่างเช่นหุ้นบริษัทน้ำมันหรือหุ้นบริษัทสายการบินมีสภาพเป็นอย่างไรตอนที่เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในทวีปยุโรป แต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่เว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลสามารถค้นเจอเฉพาะหน้าเว็บไซต์ที่มีบทวิเคราะห์ดังกล่าว แต่ซอฟต์แวร์ Kensho สามารถป้อนคำตอบต้นแบบให้ 65 ล้านคำถามโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกว่า90,000 ครั้ง รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ผลกำไรของบริษัทต่างๆ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และการอนุมัติการขึ้นทะเบียนตำรับยาขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา Nadler อวดผลงานความสำเร็จของเขาว่าไม่ใช่งานหมู ของแบบนี้หากใช้คนทำก็ต้องเสียเวลาในการวิจัยข้อมูลไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมง แต่ซอฟต์แวร์ Kensho ของเขาสามารถเนรมิตข้อมูลพวกนี้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีพร้อมแสดงข้อมูลจำพวกกราฟและแผนภูมิต่างๆ ประกอบอย่างครบถ้วนชัดเจน ทั้งนี้ Goldman Sachs เลือกติดตั้งซอฟต์แวร์ Kensho ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขององค์กรในปี 2014 ส่วน JPMorgan Chase และ Bank of America Merrill Lynch ได้เริ่มทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ของเขาเมื่อเร็วๆ นี้ – โดย Laura Shin
คลิ๊กอ่านบทความทางธุรกิจเพิ่มเติมได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JUNE 2016 ฉบับพิเศษ The Essential for Enrichment ในรูปแบบ e-Magazine