SentiLink ใช้ AI ช่วยต่อสู้กับการขโมยทรัพย์ด้วยอัตลักษณ์ปลอมหรือการสร้างบุคคลปลอมเพื่อรับสินเชื่อจริง และการฉ้อโกงทางการเงินรูปแบบใหม่
แน่นอนว่าปัญญาประดิษฐ์คือส่วนสำคัญของธุรกิจสตาร์ทอัพ SentiLink แต่ Naftali Harris และ Maxwell Blumenfeld ต่างได้บทเรียนสำคัญจากจับกลโกงประเภทนี้ได้ครั้งแรก นั่นคือคนเป็นตัวเชื่อมโยงที่สำคัญไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2016 นักศึกษาเพื่อนซี้ 2 คนเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลในสตาร์ทอัพแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลังชื่อ Affirm ทีมของ Harris มีหน้าที่สร้างโมเดลการอนุมัติหรือปฏิเสธผู้ยื่นกู้
ส่วนงานของ Blumenfeld คือการตรวจจับการโกง วันหนึ่ง Blumenfeld สังเกตว่า ผู้ยื่นกู้ 2 คนมีชื่อและวันเกิดเหมือนกัน แต่มีหมายเลขประกันสังคมต่างกัน เขาค้นชื่อนั้นในคอมพิวเตอร์และพบว่า มีคน 12 คนยื่นขอสินเชื่อด้วยชื่อและวันเกิดเดียวกัน แต่หมายเลขประกันสังคมต่างกัน
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ทั้ง 12 คนมีประวัติในเครดิตบูโรและได้คะแนนเครดิต FICO สูงกว่า 700 หนึ่งในนั้นมีบัตรเครดิตวงเงิน 20,000 เหรียญ อีกคนได้รับสินเชื่อส่วนบุคคล 35,000 เหรียญ ส่วนคนที่ 3 ใช้หลักทรัพย์ประกันเงินกู้เพื่อซื้อรถ BMW ราคา 80,000 เหรียญ
“เป็นเรื่องบ้ามาก” Harris นึกย้อนกลับไป “คนเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง แต่พวกเขาหลอกเอารายงานเครดิตจากเครดิตบูโรไปได้” การใช้ชื่อและวันเกิดซ้ำกันดูเป็นอุบายตื้นๆ แต่กลยุทธ์เบื้องหลังนั้นแยบยลและต้องใช้เวลา วิธีการคือ บรรดานักหลอกลวงจะขโมยหมายเลขประกันสังคมจากผู้ที่ไม่ค่อยซื้อสินค้าด้วยเครดิต เช่น เด็ก นักโทษ และคนในบ้านพักคนชรา
พวกเขาจับคู่ตัวเลขเหล่านั้นกับชื่อสมมติและที่อยู่จริง จากนั้นก็สร้างประวัติเครดิตของบุคคลอุปโลกน์พวกนั้นด้วยการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและชำระเงินกู้กับบัตรเครดิตให้ตรงเวลา ในที่สุดพวกเขาก็สามารถใช้ประวัติเครดิตเหล่านั้นเพื่อให้ผ่านเงื่อนไขในการกู้เงินก้อนโตที่พวกเขาไม่คิดจะจ่ายคืน ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า “สูบแล้วซิ่ง”
ตอนที่ Harris และ Blumenfeld เจอการฉ้อโกงแบบนี้ครั้งแรก ไม่ค่อยมีใครรู้จักมันแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญ “พวกเขาบอกเราว่าเครดิตบูโรมีประวัติชาวอเมริกันที่ใช้บัตรเครดิตทั้งหมดที่ถูกต้อง และตราบใดที่คุณตรวจเจอว่าบุคคลนั้นมีประวัติกับทางเครดิตบูโรเรื่องโกงไม่มีทางเป็นไปได้” Harris เล่า แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วและยังคงเกิดอยู่ ถึงแม้ว่าปีที่แล้วรัฐบาลกลางจะเปิดตัวฐานข้อมูลที่ค่อนข้างเทอะทะ (ซึ่ง SentiLink ก็ใช้) ซึ่งผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตสามารถตรวจสอบหมายเลขประกันสังคมและชื่อได้
ปัจจุบัน SentiLink มีพนักงาน 78 คนรวมพนักงานประจำ 8 คนที่ทุ่มเทให้กับการตรวจสอบพฤติกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกงด้วยตนเอง และต้องให้คนอื่นๆ ช่วยอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการจับตาดูกรณีต่างๆ เพื่อค้นหารูปแบบใหม่ๆ ทั้งกลเม็ดการโกงหรือแม้กระทั่งผู้ยื่นกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งอาจถูกปฏิเสธอย่างไม่เป็นธรรมโดยอัลกอริทึม
เรื่อง: Jeff Kauflin เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพ: Chad Kirkland
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : “เศรษฐีสิงคโปร์” ไม่มีความสุขสุดในเอเชีย เพราะไม่มี Work-Life Balance ส่วน “เศรษฐีไทย” แฮปปี้สุด