Sunrun กับเป้าหมายแก้วิกฤตไฟฟ้าในสหรัฐฯ - Forbes Thailand

Sunrun กับเป้าหมายแก้วิกฤตไฟฟ้าในสหรัฐฯ

FORBES THAILAND / ADMIN
28 Apr 2025 | 09:00 AM
READ 130

Mary Powell ซีอีโอของ Sunrun มองว่าการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านผสมผสานกับการเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับโครงข่ายพลังงานไฟฟ้าของสหรัฐฯ ที่กำลังสั่นคลอน


    สหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายในโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นจากการใช้งานในด้านต่างๆ ตั้งแต่ศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล (data center) สำหรับ AI รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงภาคการผลิตสินค้าในประเทศที่ขยายตัว และแม้ว่าสหรัฐฯ จะควักกระเป๋าลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ จำนวนมหาศาลเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่การเชื่อมต่อโรงไฟฟ้าพลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่เข้ากับโครงข่ายเดิมยังมีความยากลำบากซึ่งใช้เวลานานหลายปี

    Mary Powell ซีอีโอของ Sunrun และอดีตหัวเรือใหญ่บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าคิดว่าเธอมีวิธีที่รวดเร็วกว่านั้นด้วยการเปลี่ยนบ้านพักอาศัยจำนวนมากขึ้นให้กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าของตนเอง บริษัทใน San Francisco ของเธอเป็นรายแรกของอุตสาหกรรมที่ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ในบ้านพักอาศัยครบ 1 ล้านหลังในสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยระบบโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งไปทั้งหมดมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างน้อย 7 กิกะวัตต์และสามารถกักเก็บพลังงานได้ 2 กิกะวัตต์ชั่วโมง

    “ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะจ่ายไฟฟ้าให้กับเมืองใหญ่อย่าง San Francisco ใช้ได้นานครึ่งวัน” เธอกล่าว

    Powell ผู้ติดทำเนียบ Sustainability Leaders ปี 2024 ของ Forbes ตั้งเป้าขยายจำนวนบ้านซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กให้เพิ่มอีกเท่าตัว Sunrun บริษัทผู้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ กำลังเร่งดันยอดขายแบตเตอรี่เช่นกันโดยที่สินค้าหลักคือ Tesla Powerwall
โดยเฉลี่ยแล้วโครงการสำหรับบ้านพักอาศัยของ Sunrun จะประกอบด้วยแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 7.5 กิโลวัตต์ และแบตเตอรี่ที่สามารถกักเก็บพลังงานได้อย่างน้อย 13 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระบบผลิตและกักเก็บไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ดังกล่าวซึ่งผลิตจากซัพพลายเออร์หลายราย เช่น JA Solar จาก Beijing และ Qcells ที่มีสำนักงานใหญ่ในเกาหลีใต้มีราคาแตกต่างกันไป และในบางกรณีราคาอาจสูงถึง 20,000 เหรียญสหรัฐฯ มาตรการลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลกลางมูลค่า 30% ของต้นทุนค่าติดตั้งจะช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่ง

    นอกจากนี้ ในบางรัฐ เช่น California มีนโยบายจ่ายเงินชดเชยหากมีการติดตั้งระบบแบตเตอรี่พ่วงด้วย ทว่า Powell ยอมรับว่าราคาที่สามารถเข้าถึงได้คือหัวใจสำคัญ 

    “เราได้มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์มที่สามารถขยายให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในบ้านและยกคุณภาพชีวิตด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างเสถียร ราคาเข้าถึงได้ และทำงานได้อย่างลื่นไหล” เธอกล่าว “และทำให้ฉันสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว”



    ในอดีตช่วงที่เธอรับหน้าที่กุมบังเหียน Green Mountain Power บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ Vermont สถานการณ์แตกต่างออกไป “แม้แต่บริษัทด้านสาธารณูปโภคที่มักจะได้รับการขนาน-นามว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีนวัตกรรมล้ำที่สุด แต่ขั้นตอนการดำเนินงานทุกอย่างนั้นช้ามาก” เธอกล่าว “และสาเหตุไม่ใช่แค่เพราะรูปแบบวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทในอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค แต่ด้วยสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวพันกับระบบนิเวศทางธุรกิจทั้งหมด ทุกอย่างเป็นไปด้วยความช้าและมุ่งปฏิเสธไว้ก่อน”

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับบ้านพักอาศัยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ที่ตัวแผงโซลาร์เซลล์ แต่เกิดจากการนำแบตเตอรี่มาใช้เพื่อเก็บสำรองกระแสไฟฟ้าวันที่มีแสงแดดจ้าเพื่อใช้ในเวลากลางคืนหรือวันที่มีเมฆมากซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว นับเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าภาคครัวเรือนมีส่วนร่วมในการผลิตกระแสไฟฟ้าปริมาณมากอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยลดการดึงพลังงานจากโครงข่ายมาใช้ได้อย่างมหาศาล ข้อมูลจากรายงานผลประกอบการก่อนในปี 2024 ของบริษัทเผยว่า ปัจจุบันลูกค้าของ Sunrun ราว 54% ได้ติดตั้งแบตเตอรี่ร่วมกับระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคาของพวกเขา

    แต่ตัวเลขนี้ยังไม่เพียงพอและยังห่างจากความต้องการอีกมาก สหรัฐฯ คาดว่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยอัตราการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ข้อมูลจาก Energy Information Agency เผยว่า ในภาพรวมพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ทั้งจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และแหล่งผลิตบนหลังคาบ้านพักอาศัยจะเป็นแหล่งพลังงานใหม่ที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดสำหรับปี 2024 โดยเพิ่มขึ้น 42% ในช่วงครึ่งปีหลังเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 แต่โครงข่ายไฟฟ้าของสหรัฐฯ กลับไม่ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วพอที่จะสอดรับกับความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

    “แนวโน้มและทิศทางในปัจจุบันน่ากังวลอย่างมาก” Powell กล่าว “มูลค่าการใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 1.27 แสนล้านเหรียญเมื่อปี 2023 แต่ตัวเลขประเมินชี้ว่า เราต้องการเงินลงทุนพัฒนาเป็นมูลค่าหลักล้านล้านเหรียญ”

    เธอเชื่อว่าประเด็นปัญหานี้จะสะท้อนออกมาให้เห็นชัดเจนในรูปตัวเลขค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค “ดังนั้น ในมุมมองของฉันคือ เราควรเร่งการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค เราควรใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้เพื่อให้โครงข่ายไฟฟ้าเกิดประสิทธิภาพสูงสุดทางเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน”



เรื่อง: Alan Ohnsman, เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา, ภาพ: Guerin Blask



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เศรษฐกิจหมุนเวียน ในพลาสติกรีไซเคิล

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine