สองสาวชาวอเมริกัน และชาวอังกฤษสลับบ้านกัน เพื่อหลีกหนีบางสิ่งในภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง The Holiday และในวันนี้ คุณเองก็ทำได้ เพียงใช้ Kindred แพลตฟอร์มใหม่ที่ให้คุณสลับบ้านกับคนอื่นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
“เราก่อตั้ง Kindred ขึ้นมาด้วยเป้าหมายในการทำให้การท่องเที่ยวเป็นวิถีชีวิต ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หลีกหนีชั่วคราว” ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัท Tasneem Amina กล่าว
พวกเธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากความยืดหยุ่นของการทำงานแบบรีโมต โดย 2 ผู้ร่วมก่อตั้ง Justine Palefsky และ Tasneem Amina สร้างเครือข่ายแลกบ้านนี้ขึ้นมา และใช้พลังแห่งคอมมิวนิตี้ในการขับเคลื่อน
ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามุ่งเน้นไปยังการแบ่งปันแทนการทำเงิน ดังนั้น Kindred จะไปนำบ้านออกจากแพลตฟอร์มของพวกเขา หรือขึ้นราคาบ้าน และดูเหมือนว่าไอเดียธุรกิจของพวกเธอก็กำลังไปได้สวย โดยเมื่อช่วงต้นปีนี้ ทางบริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 7.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในรอบ Seed และจะนำเงินทุนดังกล่าวมาผลักแพลตฟอร์มนี้ให้โตยิ่งขึ้น
พวกคุณทั้งสองเป็นพนักงานยุคแรกๆ ของ Opendoor แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปลี่ยนบ้านที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นธุรกิจ อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหันมาเริ่มสร้างบริษัทสตาร์ทอัพของตัวเอง?
ประสบการณ์ของพวกเราที่ Opendoor สอนให้เรารู้ว่าปัญหาใหญ่สำหรับลูกค้าคือโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการสร้างนวัตกรรมต่างหาก ซึ่งปัญหาที่เราประสบก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เราสร้าง Kindred ขึ้นมา
ระหว่างช่วงโรคระบาด เราทั้งคู่ต่างเสาะหาช่องทางได้การใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นใหม่ที่เราได้จากการทำงานแบบรีโมต และใช้เวลาในเมืองต่างๆ มากขึ้น แต่ ในความเป็นจริง วิธีต่างๆ ที่มีอยู่มันแพงไร้เหตุผล หรือไม่ก็บังคับให้เราต้องทิ้งบ้านของเราไปเลย
เราเล็งเห็นว่ามันมีความต้องการของผู้บริโภคที่คนมองไม่เห็น และไม่มีใครเข้ามาตอบสนองอยู่ ซึ่งเป็นความต้องการที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ หากราคาเช่าที่พักเพื่อท่องเที่ยวยังคงพุ่งสูงขึ้นแบบนี้ ซึ่งตอนที่เราเริ่ม เราไม่รู้ว่าโปรดักส์ของเราจะออกมาหน้าตาแบบนี้ แต่สิ่งที่เรารู้คือ หากเราต้องการแก้ไขปัญหานี้กันอย่างบ้าคลั่งล่ะก็ เราจะสามารถสร้างสิ่งที่มันคุ้มค่าขึ้นมาได้
Kindred มอบอะไรให้แก่ผู้ใช้งานที่ทำให้แตกต่างจากบริการอื่นๆ เช่น Airbnb?
แพลตฟอร์มของเราเป็นเครือข่ายแลกบ้านที่คุณต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นถึงใช้งานได้ แตกต่างจากแพลตฟอร์มเช่าที่พักเพื่อท่องเที่ยวโดยสิ้นเชิง อย่างแรกเลย ต่างจากการเช่า มันไม่มีการแลกเปลี่ยนทางการเงินระหว่างโฮสต์และผู้เข้าพักบนแพลตฟอร์มของเรา เพราะเราได้สร้างระบบที่พึ่งความมีน้ำใจขึ้นมา สถานที่ซึ่งสมาชิกสามารถมอบที่พักตัวเองให้คนอื่น 1 คืน เพื่อแลกกับการพักในที่ใหม่ 1 คืน และบ้านทั้งหลายบนแพลตฟอร์มของเราก็เป็นที่พักอาศัยจริง ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน
อย่างที่สอง แพลตฟอร์มของเราสร้างขึ้นโดยใช้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยเราเชื่อมต่อสมาชิกที่มีบางอย่างเหมือนกัน (เช่น มีกลุ่มเพื่อนเดียวกัน) และช่วยให้พวกเขาสามารถทำความรู้จักกันได้ผ่านการแชททางวิดีโอก่อนที่จะยืนยันเข้าพัก
ใครคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย? และทำไม?
เป้าหมายของเราคือการทำให้ใครๆ ก็สามารถแชร์บ้านของตัวเองได้ ส่วนกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้งานมากที่สุดเท่าที่เราเห็นคือพวกทำงานแบบรีโมตที่มีความยืดหยุ่นในการทำงานจนล้นมือ และอยากไปเที่ยวบ่อยๆ
และด้วยโมเดลแบบเราที่เน้นไปที่ทั้งการให้และการรับ มันสำคัญสำหรับเราที่จะเล็งเป้าไปยังกลุ่มคนที่จะใช้แพลตฟอร์มนี้ทั้งในฐานะนักเดินทาง และโฮสต์
คุณนำประสบการณ์การท่องเที่ยวของคุณเองมาปรับใช้กับแพลตฟอร์มนี้อย่างไรบ้าง?
เราทั้งคู่ต่างเป็นพวกชอบผจญภัย และรักการเดินทาง พวกเราเคยใช้แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวเกือบทุกแพลตฟอร์มที่มีอยู่ ณ ตอนนี้แล้ว
ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด Tas ลองผันตัวไปเป็นพวก digital nomad ส่วนฉัน (Justine) ก็พยายามที่จะซื้อบ้านตากอากาศที่ Lake Tahoe โดยวางแผนว่าจะให้เช่าบน Airbnb เพื่อเป็นการช่วยเรื่องค่าบ้านไปพร้อมๆ กัน และหลังจากตัดสินใจว่ามันยุ่งยากและเสี่ยงเกินไป ฉันเลยไปจบที่ติดต่อไปหาคู่รักคู่หนึ่งที่รู้จักกันตอนเรียนวิทยาลัยที่อาศัยอยู่ที่ Lake Tahoe แทน
ตอนนี้ ฉันก็สลับบ้านกับพวกเขาเป็นประจำ การรู้สึกเหมือนว่าฉันมีบ้านตากอากาศโดยปราศจากความเสี่ยง หรือค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านตากอากาศ เป็นกุญแจที่นำไปสู่โมเมนต์ที่เราอุทานว่า “นั่นแหละ” ออกมาได้
ช่วยอธิบายการทำงานของโมเดลแบบที่ต้องได้รับคำเชิญเท่านั้นให้เราที? และอะไรคือเป้าหมายที่คุณมีกับคอมมิวนิตี้บนแพลตฟอร์ม?
เคมีของทุกคนในคอมมิวนิตี้เราสร้างขึ้นมันน่าทึ่งมากจนเราตกใจเลยล่ะ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราภูมิใจมากที่สุด เช่น การทิ้งโน้ตขอบคุณแบบเขียนมือไว้กลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของคอมมิวนิตี้ไปแล้ว
เราเห็นสมาชิกหลายคนมอบของขวัญจากใจให้กันและกัน ตั้งแต่ดอกไม้ จนถึงไวน์ หรือแม้กระทั่งกลอนเขียนมือ, ก้อนหินสวยๆ และบางทีก็มีการมอบเพลงที่พวกเขาแต่งเองโดยใช้วิธีการอัดเสียงจากสิ่งของในบ้านด้วย (เรื่องจริงนะ!)
และเพื่อให้มั่นใจว่า เราสามารถคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมอันเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจต่อไปได้ เราจึงเน้นโตผ่านการบอกต่อ มากกว่า โดยสมาชิกที่ได้รับการตอบรับแต่ละคนจะมีรหัสเฉพาะบุคคล และพวกเขาสามารถแชร์รหัสนั้นกับคนอื่นๆ ที่พวกเขาคิดว่าจะเหมาะกับแพลตฟอร์มนี้ได้ และคนที่สมัครผ่านวิธีนั้นก็จะได้คิวก่อนคนอื่นๆ
คนที่สนใจสมัครแต่ไม่มีรหัสเชิญก็สามารถเข้าร่วม waitlist ได้ เรารับคนสมัครอยู่ตลอดเวลาเลย ขึ้นอยู่กับความต้องการนั่นแหละ
ในบทสัมภาษณ์อื่นๆ คุณได้พูดถึงด้านลบของ Airbnb ในแง่ที่มันเปรียบเป็นแรงผลักให้นักลงทุนหันมาซื้ออสังหริมทรัพย์ราคาเอื้อมถึงที่ควรตกไปอยู่ในมือของคนท้องถิ่นเพื่อใช้ในการอยู่อาศัย แล้วแพลตฟอร์มของคุณจะมาดิสรัปต์โมเดลนี้ได้อย่างไร?
ต่างจากบริษัทเช่าเพื่อการท่องเที่ยวอย่าง Airbnb และ VRBO การเป็นโฮสต์บนแพลตฟอร์มของเราจะไม่สามารถทำเงินให้คุณได้ แต่แทนที่จะได้เงิน สมาชิกจะสามารถไปอาศัยบ้านคนอื่นได้แทน
ด้วยสิ่งนี้ ลูกค้าของเราจึงเป็นคนที่อยากจะปลอดล็อคมูลค่าในบ้านของพวกเขา และออกไปเที่ยวมากขึ้น ไม่ใช่พวกนักลงทุน พูดตามตรงเลย การที่ซื้อบ้านเพื่อนำมาวางบนแพลตฟอร์มของเราเป็นอะไรที่ไร้สาระสิ้นดี!
การสลับบ้านมันให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าการเช่า คุณมองว่าความรู้สึกดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ Kindred หรือไม่?
นี่คือหัวใจของประสบการณ์ Kindred อย่างถ่องแท้เลย และเป็นสิ่งที่ทำให้การสลับบ้านช่างเป็นสิ่งที่พิเศษมาก เพราะคุณอยู่ในบ้านของคนอื่น คุณมีโอกาสที่ไม่เหมือนใครในการผจญภัยไปในเมืองใหม่เหมือนเป็นคนท้องถิ่น และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับเจ้าของบ้านหลังนั้นๆ
สมาชิกของเราหลายคนหันมาใช้แพลตฟอร์มเราเพราะพวกเขาต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวอันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น, คาแรกเตอร์ และความสบายเหมือนอยู่บ้าน พวกเขาอยากจะรู้สึกเหมือนพวกเขาอาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่แค่เที่ยวไปเรื่อยๆ แบบนักท่องเที่ยว
การสลับบ้านในฝันของคุณ หน้าตาประมาณไหน?
ฉันไม่รู้ว่านี่จะนับหรือไม่นะ แต่เราอยากจะบอกให้โลกรู้ไว้ก่อน เราอยากจะตามรอยภาพยนตร์ The Holiday มากจนใจจะขาดเลย Cameron กับ Kate หากคุณกำลังอ่านอยู่ล่ะก็ ติดต่อเรามาทีนะ
บทความแปลและเรียบเรียงจากบทความ A New Home-Swapping Platform Allows You To Travel The World Like Cameron Diaz And Kate Winslet เผยแพร่บน Forbes.comอ่านเพิ่มเติม: Prada เดินหน้าพัฒนากลยุทธ์ก้าวสู่โลก Web 3.0 ด้วย NFT
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine