Josh Kushner พี่น้องคนละขั้ว - Forbes Thailand

Josh Kushner พี่น้องคนละขั้ว

FORBES THAILAND / ADMIN
27 Jul 2017 | 12:11 PM
READ 2921

Josh Kushner สามารถก่อร่างสร้าง Thrive บริษัทธุรกิจร่วมลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยจนกลายเป็นบริษัท VC ที่เฟื่องฟูมากที่สุดรายหนึ่งในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าธุรกิจสูงถึง 2.7 พันล้านเหรียญ และมีความเกี่ยวพันกับนโยบาย Obamacare ในขณะที่ Jared พี่ชายของเขา กลับทำงานให้กับรัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ที่มีนโยบายส่งผลสร้างความสั่นคลอนให้กับธุรกิจของน้องชาย

ก่อนหน้าที่ Trump จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง Kushner มีทุกอย่างเพียบพร้อมในวัยแค่ 31 ปี ธุรกิจ VC ของเขามีมูลค่าถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยธุรกิจดังกล่าวสร้างชื่อเสียงอย่างมากด้วยการไปลงทุนกับ Instagram และสตาร์ทอัพอีกหลายแห่งที่เขาประคับประคองมากับมือ ขณะที่ชีวิตส่วนตัวของเขานั้นก็ดำเนินไปอย่างเงียบๆ แม้ว่าจะคบหากับนางแบบดัง Karlie Kloss

Josh Kushner กับแฟนสาว Karlie Kloss นางแบบชื่อดัง (Photo Credit: Pacific Coast News/Daily Mail)

ทั้งนี้ เกมการเมืองที่เป็นผลพวงจากการเกี่ยวดองกับ Trump ไม่ได้เข้าครอบงำเพียงแค่ด้านธุรกิจ ความเป็นส่วนตัวของเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สื่อต่างพยายามรื้อคุ้ยทุกอย่างที่เกี่ยวกับครอบครัว Kushner Josh ถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับเกมการเมือง จนทำให้ผู้คนในแวดวงเทคโนโลยีหลายรายเริ่มหันหน้าหนี

เมื่อ Trump ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และ Jared พี่ชายของเขากำลังจะเป็นที่ปรึกษาอาวุโสผู้ใกล้ชิด Josh จึงกลายเป็นคนที่ตกที่นั่งลำบาก (อ่านเพิ่มเติม: Jared Kushner ลูกเขยไม่ธรรมดาของพ่อตาตัวแสบ)

“มันไม่ใช่ความลับอะไรสำหรับความเป็นลิเบอรัล สิ่งที่เป็นหลักการที่ผมยึดถือมาตลอด” Josh Kushner กล่าวด้วยความอึดอัด “และผมก็สนับสนุนผู้นำการเมืองที่มีค่านิยมที่คล้ายกันนี้ด้วย” สัปดาห์ถัดมา เขาเข้าประชุมแบบ 1 ต่อ 1 กับพนักงานเกือบ 100 คนของ Thrive และสตาร์ทอัพที่เขาปั้นขึ้นมาอีก 2 แห่ง พนักงานเหล่านี้ทั้งเศร้า อึดอัด กังวล และไม่พอใจ ท่ามกลางความขุ่นเคืองในวงการเทคโนโลยีซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ Josh จำต้องเดินสายพูดคุยกับนักลงทุนและสตาร์ทอัพที่เขาเข้าลงทุนทุกแห่งเพื่อยืนยันว่าเขาไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับรัฐบาลนี้ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือร้าย

บรรยากาศภายในสำนักงานของ Thrive (Photo Credit: Morris Adjmi Architects)

กลุ่มที่ Kushner ต้องเข้าไปทำความเข้าใจมากสุดคือ นักลงทุนใหญ่ใน Thrive อย่างน้อยในเรื่องภาพลักษณ์ขององค์กร ในปี 2013 Kushner ก่อตั้งบริษัทประกันสุขภาพ Oscar ที่เชื่อมโยงกับนโยบาย Obamacare บริษัทดังกล่าวระดมทุนได้ 720 ล้านเหรียญและมีมูลค่ารวมมากถึง 2.7 พันล้านเหรียญ ขณะที่ Trump ป่าวประกาศหลังผลเลือกตั้งออกมาเมื่อปีที่แล้วว่า จะเขี่ยนโยบาย Obamacare ทิ้ง

แม้ว่ารีพับลิกันจะไม่สามารถคว่ำและเปลี่ยนนโยบาย Obamacare ซึ่งถือเป็นชัยชนะของ Oscar แต่ประธานาธิบดี Trump ก็ยืนยันว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ ส่วน Kushner ซึ่งกำลังวางแผนงานของบริษัท Oscar ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน

ความเป็นไปของพี่น้อง Kushner คู่นี้ที่ต้องมาอยู่กันคนละมุมอย่างชัดเจนอาจเป็นพล็อตเรื่องสำหรับสร้างเป็นหนังฮอลลีวูดได้ Jared ในวัย 36 เป็นผู้สืบทอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อจากบิดา ส่วน Josh แม้ว่าจะเป็นทายาทระดับพันล้านเหรียญ แต่เขาก็เป็นคนที่ชอบสร้างอะไรด้วยตัวเอง เขาปฏิเสธไม่รับตำแหน่งในบริษัทของครอบครัว และมุ่งไปสู่ความเป็นอิสระและสิ่งที่แปลกใหม่

Jared กับ Josh Kushner (Photo Credit: Patrick McMullen/Daily Mail)

Kushner มีส่วนสำคัญในการผลักดันสตาร์ทอัพระดับแถวหน้าในช่วงทศวรรษนี้ เช่น Twitch, Warby Parker, GitHub, Spotify, Stripe และ Slack ยังไม่นับรวม Instagram นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทสำคัญก่อตั้งร่วมหรือช่วยปลุกปั้นอีก 5 บริษัท รวมถึง Oscar, Maple (อาหารปรุงสำเร็จ), Capsule(ร้านขายยาดิจิทัล) และ Cedar (เก็บบิลผู้ป่วย)

“Josh ชอบคลุกคลีกับงานและเข้าใจทิศทางธุรกิจ ด้วยลักษณะการเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแบบนี้ทำให้เขาคว้าข้อตกลงดีๆ ได้เสมอ” Daniel Ek ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Spotify กล่าว

Thrive มีสำนักงานอยู่ใน ตึก Puck ของครอบครัว Kushner ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจส่วนตัวของ Josh กับธุรกิจตระกูล ทั้ง Jared และ Josh (รวมถึง Nicole และ Dara พี่สาวน้องสาวของพวกเขา) เติบโตในครอบครัวร่ำรวยใน Livingston รัฐ New Jersey โดยทั้งคู่จบโรงเรียนชาวยิวก่อนที่จะไปต่อที่ Harvard University

บริษัทอสังหาฯของตระกูล Kushner เป็นเจ้าของตึก Puck อันเก่าแก่อายุ 131 ปีในย่าน Soho เมือง New York (Photo Credit: boweryboyshistory.com)

Josh เรียนที่ Harvard ในยุคที่มีกระแสคลั่งไคล้ Facebook โดย Kushner เข้าร่วมก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่ง ในที่สุด เขาเลือกที่จะพักการเรียนที่ Harvard เพื่อที่จะทำงานให้กับ Goldman ดูแลด้านหนี้ด้อยคุณภาพเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นก็สมัครกลับเข้าไปเรียนต่อที่เดิมปี 2009 ซึ่งเป็นเวลาที่เขาให้ความสนใจธุรกิจเงินร่วมลงทุน เขาเลือกที่จะปฏิเสธการฝึกงานในช่วงฤดูร้อน เพื่อจะเข้าร่วมลงทุนในบริษัท Kickstarter และ GroupMe ต่อมาเขาได้รับการชักชวนจาก Joel Cutler ผู้ร่วมก่อตั้ง General Catalyst Partners ให้ร่วมสร้างกองทุนด้วยกัน

ที่สุดแล้ว Kushner ก็เริ่มก่อตั้ง Thrive ในปี 2010 ด้วยทุน 5 ล้านเหรียญของเพื่อนและครอบครัว และอีกปีถัดมา เขาได้ทุนเพิ่ม 40 ล้านเหรียญจาก Princeton University จากนั้นเขาก็เริ่มความเสี่ยงด้วยการเข้าไปลงทุนอย่างชาญฉลาดที่ Harry’s, Warby Parker และ Instagram ซึ่งจากการเข้าไปลงทุนกับ Instagram ระดับ series B ร่วมกับ VC ยักษ์ใหญ่ Sequoia และ Greylock นี้เอง ส่งผลให้ Kushner นำพาธุรกิจเล็กๆ Thrive ปักหมุดที่แข็งแกร่งได้

Instagram มีมูลค่า 500 ล้านเหรียญเมื่อตอนที่เขาเข้าไปลงทุน แต่เพียงไม่กี่วัน Facebook ก็เข้าซื้อกิจการดังกล่าวมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการทำกำไรสองเท่าในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

จากนั้นการระดมทุนก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงฤดูร้อนปี 2016 เงินหน้าตักของ Thrive พุ่งขึ้นไปถึง 1.5 พันล้านเหรียญ ที่เหนือไปกว่านั้น Kushner ระดมทุนได้มหาศาลทั้งๆ ที่ยังไม่ได้จ่ายเงินตอบแทนให้กับผู้ร่วมลงทุน

Thrive เข้าไปมีบทบาทเชิงรุกในบริษัทที่พวกเขาเข้าไปลงทุนทั้ง 5 บริษัท ทั้งส่งทีมที่มีความสามารถไปช่วยด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างสายสัมพันธ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การวางแผนยุทธศาสตร์ทางการเงิน

Kushner พยายามสร้าง Oscar เพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมประกันสุขภาพใหม่โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ลูกค้าค้นหาบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและกำจัดข้อยุ่งยากด้านเอกสารด้วยรูปแบบง่ายๆ เหมือน Instagram Affordable Care Act ของ Obama ดูเหมือนจะเข้าทางในการทำธุรกิจ พวกเขาเชื่อว่าเทคโนโลยีชั้นสูงและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าจะใช้ได้สอดคล้องกับนโยบายนี้ ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบและเลือกแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับตัวเองได้

ทว่า เงินทุนถือเป็นปัจจัยสำคัญ ขณะที่บริษัท Uber กับ Airbnb สามารถหาช่องโหว่ทางกฎหมายได้ ธุรกิจประกันสุขภาพมีข้อกฎหมายรัฐควบคุมอย่างเข้มข้น Oscar ต้องจ้างทีมผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมนี้มาดูแล และทำตามกระบวนการที่ยืดยาวเพื่อจะได้ใบรับรองธุรกิจ ขณะที่ต้องทุ่มเงินหลายล้านเหรียญ เพื่อเป็นเงินสำรองตามข้อบังคับของรัฐบาล

พนักงานที่ Thrive ส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 40 ปี แต่งกายคล้ายคลึงกับ Kushner แม้ว่าจะมาจากต่างเชื้อชาติและเพศ และพวกเขาต่างจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ “แน่นอน เราใช้นโยบายว่าจ้างเพื่อนที่เก่งที่สุดของคุณเข้าร่วมทีม” ผลลัพธ์ของการรวมทีมเพื่อนที่เก่งที่สุดทำให้ Thrive ได้ทีมที่ดูแปลกตาแต่เป็นงาน (จากซ้าย) Kareem Zaki, Nabil Mallick, Jared Weinstein, Liz Tran, Chris Paik, Joshua Kushner และ Miles Grimshaw

พวกเขาสามารถระดมทุนได้ถึง 2.7 พันล้านเหรียญในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 อย่างไรก็ตามในการบริหารจัดการธุรกิจค่อนข้างจะยากกว่าที่คาด เพราะต้นทุนด้านการสร้างเครือข่ายสุขภาพ การหาลูกค้า และการจัดการผู้ป่วยที่มีค่ารักษาสูง ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก Oscar สูญเงิน 120 ล้านเหรียญในปี 2015 และ 205 ล้านเหรียญปี 2016

Oscar ยังมีหน้าตักเงินเยอะในธนาคาร แต่ยอดการเข้ามาสมัครของลูกค้าก็ลดลงจาก 140,000 สู่ 105,000 คน นี่แสดงให้เห็นว่ามีอะไรผิดพลาดขึ้นแล้วในเชิงของอุปสงค์ บริษัทจึงถอนการให้บริการในตลาดที่ขาดทุนและมุ่งเป้าไป 3 เมืองมหานครอย่าง New York, San Antonio และ Los Angeles Oscar เริ่มต้นด้วยการสร้างเครือข่ายบริการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยเป้าหมายสำคัญคือลดต้นทุนลง

Oscar พยายามค่อยๆ ก้าวไปทำธุรกิจที่ไม่ต้องยึดโยง Affordable Care Act และข้อจำกัดด้านประกันสุขภาพส่วนบุคคล บริษัทปล่อยผลิตภัณฑ์ประกันให้กับธุรกิจขนาดเล็ก โดยหวังว่าเทคโนโลยีสุดล้ำของพวกเขาจะทำให้เกิดการร่วมลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ (เป้าหมายแรกๆ คือ Google และ Fidelity) แต่อย่างที่รู้ว่า ความไม่แน่นอนเป็นของแสลงสำหรับธุรกิจ และ Oscar ก็เข้าไปเล่นในธุรกิจที่ขึ้นแท่นความไม่แน่นอนมากสุดอันหนึ่งในสหรัฐฯ ด้วย

 

เรื่อง: Steven Bertoni

เรียบเรียง: ธฤตวัต เสมใจดี


คลิกอ่าน "พี่น้องคนละขั้ว" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ มิถุนายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine