จาก Predator สู่ Doctor Dolittle พา John Davis ขึ้นแท่นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างมากผลงานที่สุดของ Hollywood ตอนนี้เขากำลังหันมาใช้ตำราความสำเร็จของตนกับธุรกิจร้านอาหารมื้อด่วนที่มีคุณภาพ (Fast Casual) แต่ต้องกินแต่พอดี
John Davis วัย 69 ปี แสดงออกชัดเจนถึงความชื่นชอบในอาหารที่วัยรุ่นนิยมกัน ความเป็นลูกชายมหาเศรษฐี ทำให้เขาพอแล้วกับการรับประทานคาเวียร์และแชมเปญ ตอนนี้ทั้งหมดที่เขาต้องการคือ Blaze Pizza, Wetzels Pretzels, PopUp Bagels และ Daves Hot Chicken สี่แบรนด์นี้คือแฟรนไชส์ร้านอาหารมื้อด่วนคุณภาพดีที่เติบโตอย่างรวดเร็วตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา โดย John มีส่วนลงทุนและช่วยแนะแนวทางให้กับพวกเขา
“ผมกินพวกนี้ตลอดแหละ แต่คุณต้องน้ำหนักขึ้นแน่ๆ ถ้าไม่ระวัง” John บอก Forbes “ผมเองก็ชอบอาหารแบบคนส่วนใหญ่”
รสนิยมเฉกเช่นคนทั่วไปของ John คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างมากผลงานที่สุด ด้วยจำนวนงาน 115 เรื่องที่ทำรายได้รวมราว 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากยอดขายตั๋ว รวมถึงเรื่องดังอย่าง I, Robot (353 ล้านเหรียญ) และ Doctor Dolittle (470 ล้านเหรียญสำหรับสองภาคแรก) กับซีรีส์ทางโทรทัศน์อีก 13 เรื่อง (เช่น Magnum P.I. และ The Blacklist)
ก็จริงที่เขาเกิดเป็นลูกคนในวงการ พ่อของเขา Marvin Davis เป็นนักธุรกิจทรงอิทธิพลด้านน้ำมันที่ครอบครองสตูดิโอ 20th Century Fox ในช่วงต้นยุค 80 ครอบครัวอันใหญ่โตของเขาเป็นประเด็นในข่าวซุบซิบของ Page Six Style นานนับสิบปี และเขาก็ต้องก้าวข้ามโศกนาฏกรรมเพื่อประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จของเขานอกจากใน Hollywood ยังมีโลกธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นนักลงทุนที่ถูกประเมินต่ำเกินความสามารถ เขาสร้างรายได้หลายล้านเหรียญจากสี่แฟรนไชส์ ซึ่งต้องขอบคุณตำรากลยุทธ์สี่อย่าง ได้แก่ การสร้างทีมบริหารจัดการของตัวเอง จัดเตรียมรายชื่อนักลงทุนกระเป๋าหนักที่พร้อมร่วมด้วย ถือกรรมสิทธิ์ส่วนใหญ่เอาไว้กับตัว และจับคู่คนดังสร้างภาพให้แบรนด์ โดย LeBron James คู่กับ Blaze, Paul Rudd คู่กับ PopUp Bagels และ Drake คู่กับ Daves Hot Chicken
John กล่าวว่าแฟรนไชส์ร้านไก่ทอด Daves Hot Chicken สามารถเป็นตัวทำเงินมหาศาล หลังก่อตั้งโดยสามหนุ่มในลานจอดรถย่าน East Hollywood สู่จำนวนสาขามากกว่า 100 แห่ง กลับกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในอเมริกาเมื่อปี 2022
ปีนี้ทางบริษัทกำลังดำเนินการเปิดสาขาเพิ่ม 75 แห่ง โดยแร็ปเปอร์ชื่อดัง Drake เข้ามาร่วมด้วยในปี 2021 หลังจากที่ Daves Hot Chicken เป็นผู้ดูแลอาหารงานเลี้ยงฉลองในโอกาสที่เขาได้รับรางวัล Artist of the Decade จากเวที Billboard
หนึ่งในงานของ John คือจัดหารายชื่อนักลงทุนสิบกว่าคนที่เขารู้จักหรือเป็นขาประจำ “เราแค่เริ่มจากคุยข้อตกลงกัน” John เผยกับ Forbes “ถ้าผมต้องการระดมทุนในเรื่องของร้านอาหาร ผมทำช่วงบ่ายได้ แค่ยกหูโทรศัพท์ถามพวกเขา และพวกเขาก็ตกลง เหตุผลที่พวกเขาตกลงก็เพราะพวกเขาทำเงินได้เสมอ”
ลูกมหาเศรษฐี สู่เวทีอำนวยการสร้างภาพยนตร์ และการลงทุนในร้านอาหาร
John Davis โตมาบนกองเงินกองทอง พ่อของเขา Marvin Davis เป็นมหาเศรษฐีที่นอกจากจะสูงถึง 6 ฟุต 4 นิ้วและหนัก 300 ปอนด์แล้ว ตัวเลขทรัพย์สินของเขายังสูงและกระเป๋าก็หนักมากเช่นกัน
Marvin สร้างความมั่งคั่งจากการขุดเจาะบ่อน้ำมันในบริเวณที่ยังไม่ได้รับการสำรวจมาก่อนของเทือกเขาร็อกกี้ ก่อนจะขยับขยายไปยัง Hollywood และอสังหาริมทรัพย์หรู เช่น Beverly Hills Hotel, Aspen Skiing Co. และสนามกอล์ฟ Pebble Beach เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 2004 ด้วยวัย 79 ปี ทรัพย์สินรวมของเขาอยู่ 5.8 พันล้านเหรียญ และยังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาอันดับที่ 30 โดย Forbes
John Davis วัยเยาว์ไม่มีความสนใจในน้ำมันเลย “มันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่สำหรับผม” เขาบอกอย่างนั้น ทว่าเมื่อพ่อของเขาซื้อโรงภาพยนตร์ในบริเวณใกล้ๆ John ก็เหมือนได้เจอทางที่ใช่ เขาขายป๊อปคอร์นและเป็นพนักงาน ได้รับชมภาพยนตร์ราว 300 เรื่องต่อปี
ยิ่งเมื่อโตขึ้น เขาก็ยิ่งตื่นเต้นกับอุตสาหกรรมเคเบิลทีวีที่มาแรง ณ ช่วงเวลานั้น รวมถึงรายได้จากอีกสองทาง ได้แก่ การโฆษณา และค่าสมาชิก ธุรกิจอาหารดึงดูดความสนใจของเขาเช่นกัน ที่มหาวิทยาลัย Harvard เขาเขียนวิทยานิพนธ์สาขาบริหารธุรกิจเรื่องร้านขายอาหารชั้นสูง (Gourmet Food) และความนิยมต่างๆ เกี่ยวกับร้านอาหาร
หลังจากพ่อของเขาซื้อ 20th Century Fox ในปี 1981 ด้วยมูลค่า 725 ล้านเหรียญ John ผู้เพิ่งเรียนจบด้านธุรกิจจาก Harvard มาหมาดๆ ก็ก้าวเข้าสู่การผลิตภาพยนตร์ เขารับข้อเสนอของพ่อในการทำงานกับ Barry Diller (ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐี) ผู้กำกับดูแลสตูดิโอแห่งนี้ตลอดมา
“ก็อย่างที่บอก ผมทำงานนี้มาตลอดจนกระทั่งพ่อผมขาย Fox ซึ่งผมก็รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องขาย ผมเลยใช้เวลาตลอดสามปีในการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ทั้งการสร้างหนังและพบปะผู้คน” John ย้อนความหลัง
Davis Entertainment
Marvin Davis ขายหุ้น Fox ของเขาให้กับ Rupert Murdoch ในปี 1984 โดย John ที่อายุ 30 ปี ณ เวลานั้นยังคงทำงานต่อช่วงแรก ก่อนจะออกมาก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองนาม Davis Entertainment
สี่ทศวรรษผ่านพ้นไปในวงการบันเทิง John Davis ก็สั่งสมเครือข่ายคอนเนคชั่นมากมาย ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ Predator (1987) นำแสดงโดย Arnold Schwarzenegger ตอนนี้เขากำลังสร้างภาคเจ็ดอยู่ร่วมกับนักแสดงดังอย่าง Eddie Murphy
นอกจากนี้เขายังเคยทำงานกันดาวเด่นในวงการมากมาย ไม่ว่าจะ Bill Murray, Will Smith, River Phoenix, Jennifer Lawrence และ Kevin Costner ตอนนี้เขากำลังเตรียมทำภาพยนตร์สี่เรื่องและซีรีส์ห้าเรื่องก็ออกอากาศอยู่ เขามีสัญญาทำภาพยนตร์ครั้งแรกที่ Fox เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พอมาอยู่ Sony ก็มีสัญญาโทรทัศน์อีกหลายปี จากนั้นจึงย้ายมา NBC Universal เมื่อสี่ปีที่แล้ว
“ภาพยนตร์และอาหารต่างก็เป็นสิ่งบันเทิง” John กล่าว “ผมดีใจที่ได้อยู่ตรงนั้นในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขา”
ครอบครัว Davis ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างครอบครัว Carrington ในละครโทรทัศน์ยามเย็นเรื่อง Dynasty ชีวิตของ John คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในละครยอดนิยมเรื่องดังกล่าว เขาใช้เวลาหลายปีทำธุรกิจมากมายขณะพี่น้องของเขาต่างทะเลาะกันเพื่อแย่งมรดกที่พ่อทิ้งไว้
อาหารของ John นั้นไม่ต่างอะไรกับภาพยนตร์ที่เขาสร้าง นั่นคือผลิตมาเพื่อผู้ชมจำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ นั่นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากสองทศวรรษแห่งการลงทุนในร้านอาหาร โดยเฉพาะหลังจากพบว่าร้านอาหารสไตล์อิตาเลียน Pasta Pomodoro และแบรนด์ไอศกรีมโยเกิร์ต Red Mango ที่เขาร่วมเงินลงทุนไปไม่ประสบความสำเร็จไวพอ แต่การลงทุนในร้านอาหารแบบที่ John ทำนั้นอาจเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์และเงินหนากว่าอย่าง Roark Capitals
อย่างไรก็ตามความสนใจพิเศษของ Davis ในการทำการตลาดผ่านบุคคลมีชื่อเสียงควบคู่กับการบริหารจัดการโดยผู้ดำเนินงานร้านอาหารที่เจนสนามมาก่อนแล้วคือสิ่งที่ทำให้การลงทุนระยะหลังของเขาแตกต่างออกไป
ระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา John “ค้นพบบรรดาแบรนด์ที่ทำสิ่งหนึ่งๆ ได้ดีมากเสียจนผู้คนต้องติดหนึบกันแน่ๆ” Ben Ritcher กล่าว เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอแห่ง Wake & Late ร้านอาหารเช้าเบอร์ริโต้เล็กๆ ที่มีอยู่หลายสาขาในแคลิฟอร์เนีย “มันเป็นที่นิยมแล้วนิยมอีก พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นไวรัล มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่สามารถบอกว่าตัวเองทำได้ แต่เขารู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดีๆ เมื่อเขาพูด ผมก็เชื่อใจเขา”
มีไลน์ธุรกิจเพียงไม่กี่อย่างที่สามารถเติบโตโดยที่นักลงทุนไม่ต้องเติมเงินเข้าไปเพิ่ม John Davis กล่าวว่า “เราทุ่มเงินหลายล้านเหรียญลงใน Wetzels Pretzels ทั้งหมดนั้นคือจำนวนที่เราต้องใช้ในการขยายสู่ 350 ร้านซึ่งเราก็ทำได้ก่อนจะขายออกไป เรายังไม่เคยมีความจำเป็นต้องเพิ่มเงินลงทุนใน Blaze และกับ Daves เองก็เช่นกัน”
เบื้องหลังแฟรนไชส์มูลค่าสูง กับพลพรรคนักลงทุน
John Davis ไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่าแฟรนไชส์ Daves Hot Chicken จะกลายมาเป็นที่นิยมอย่างล้นหลาม เมนูเลื่องชื่อของทางร้านคือไก่ทอดไร้กระดูกรสเผ็ดร้อนและแซนด์วิชไก่ทอดสไตล์แนชวิลล์ ไก่ทอดมีความเผ็ดให้เลือกถึงเจ็ดระดับ ตั้งแต่ไม่เผ็ดเลยไปจนเผ็ดถึงตาย อันมีจุดขายขำๆ แต่จริงจังอย่างการเซ็นยินยอมรับความเสี่ยงก่อนสั่ง
ในปี 2018 เหล่าผู้ก่อตั้ง Daves Hot Chicken ซึ่ง ณ ตอนนั้นสร้างยอดขายถึง 5 ล้านเหรียญจากเพียงสาขาเดียวที่มีได้ขายสิทธิ์แฟรนไชส์และกรรมสิทธิ์ในบริษัท 50% แก่ John Davis, คู่หูธุรกิจของ John อย่าง Bill Phelps และกลุ่มเพื่อนนักลงทุนซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกอย่าง Drake, อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งแคลิฟอร์เนีย Maria Shriver, ดาวเด่นบนจอแก้วและผู้มีชื่อในหอเกียรติยศ NFL อย่าง Michael Strahan และนักแสดงดัง Samuel L. Jackson
Daves Hot Chicken
ปัจจุบัน Bill Phelps คอยดูแลกลยุทธ์ของแฟรนไชส์ในฐานะซีอีโอ โดยมีมากกว่า 700 สาขาอยู่ในแคลิฟอร์เนีย เท็กซัส เนวาดา นิวยอร์ก วอชิงตัน แมริแลนด์ และอิลลินอยส์ ทั้งยังข้ามพรมแดนไปยังแคนาดา และข้ามฟ้าสู่ตะวันออกกลาง
Bill ร่วมงานกับ John มาตั้งแต่สมัย John ลงทุนใน Wetzels Pretzels ในปี 1997 ซึ่ง Bill ร่วมก่อตั้งกับ Rick Wetzel ที่เมือง Pasadena รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อสามปีก่อนหน้า Bill เล่าว่าตอน John เข้าหาเขาครั้งแรก ตัวเขายังไม่สนใจการลงทุน แต่เป็น Wetzel ที่บอกเขาว่า “นั่นลูกชาย Marvin Davis เลยนะ นายต้องโทรกลับไปหาเขา!”
พวกเขาตัดสินใจวางแผนขยายสาขาใหม่ แต่ไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องเติบโตยิ่งใหญ่
“ที่ Wetzels Pretzels นักลงทุนของผมได้รับส่วนแบ่งคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปคืนมาทุกปีก่อนที่เราจะขายมัน” John Davis กล่าว “กับไก่ทอดก็เหมือนกัน ช่างเป็นโมเดลธุรกิจที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน”
John Davis พร้อมพลพรรคนักลงทุนขายหุ้น Wetzels ทั้งหมดในปี 2008 ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มจากที่ลงทุนครั้งแรกถึง 13 เท่า ตัวเลขอยู่ที่ราว 36 ล้านเหรียญ
Bill Phelps ยังคงดำรงตำแหน่งซีอีโอของ Wetzels และถือหุ้นไว้ก่อนอำลาในปี 2019 ซึ่ง John ก็ต่อสายหา Bill และกล่าวว่า “มาต่อกันเถอะ” ทำให้ Bill ตัดสินใจพับแผนเกษียณแล้วขึ้นนั่งเก้าอี้ซีอีโอ Daves Hot Chicken
“เขามีกึ๋นด้านธุรกิจที่สุดยอดมาก” Bill Phelps บรรยายเกี่ยวกับ John Davis “เขามีเสน่ห์เหลือเชื่อพร้อมด้วยความสามารถในการเชิญชวนคนมาร่วมทำธุรกิจ”
นอกเหนือจากการซื้อ Wetzels Pretzels และ Daves Hot Chicken แล้ว John และผองเพื่อนยังมีอีกหนึ่งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ Blaze Pizza ร้านพิซซ่าแห่งนี้ก่อตั้งในปี 2011 และได้ John มาร่วมด้วยอย่างรวดเร็ว เขาดึงนักบาสเกตบอล NBA ดาวเด่น LeBron James มาเสริมทัพ นักกีฬามหาเศรษฐีผู้นี้กลายมาเป็นโฆษกแบรนด์ของ Blaze
Blaze Pizza เติบโตจากจุดเริ่มต้นในเมืองลอสแองเจลีส กลายมาเป็นผู้นำในเรื่องของแฟรนไชส์ร้านพิซซ่ามื้อด่วนของประเทศ จนตอนนี้มีมากกว่า 380 ร้านใน 38 รัฐทั่วอเมริกาและประเทศอื่นๆ อีกหกประเทศ
John Davis ยังถือครองหุ้น 25% จากการลงทุนครั้งแรกและนั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหาร มีการเปิดสาขาเพิ่ม 13 แห่งในปี 2022 และเซ็นสัญญาหลักสิบล้านเหรียญในการพัฒนา ซึ่งจะมีการขยายสาขาอีก 27 แห่ง
หุ้นส่วนน้อยของ Blaze ถูกขายให้บริษัทลงทุนนอกตลาด Brentwood Associates ด้วยมูลค่าราว 250 ล้านเหรียญเมื่อปี 2017 โดย John กล่าวว่าเพื่อนนักลงทุนของเขาขายหุ้น 80% หลังจากนั้น ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 40 เท่าจากที่ลงทุนกันในครั้งแรก
“ผมชอบโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ตรงที่คุณสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนมาก เพราะในทางปฏิบัติแล้ว คนที่จัดหาทุนให้บริษัทก็คือผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์”
Maria Shriver ซึ่งมีอดีตสามีคือ Arnold Schwarzenegger เองก็เป็นหนึ่งในบรรดานักลงทุนที่พร้อมเข้าร่วมข้อตกลงของ John Davis นอกจากสนับสนุน Daves Hot Chicken แล้ว Shriver ยังเป็นนักลงทุนรุ่นแรกของ Blaze Pizza
Tom Werner นักธุรกิจผู้มีส่วนครอบครองทีมเบสบอล Boston Red Sox เองก็ร่วมลงทุนใน Blaze Pizza ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมี PopUp Bagels ซึ่งเริ่มจากการขายผ่านหน้าต่างสวนหลังบ้านช่วงโรคระบาดและตอนนี้ก็มีถึงสามสาขาแล้ว John Davis เริ่มลงทุนในปี 2022 ร้านเบเกิลแห่งนี้มีคนดังร่วมสนับสนุนมากมาย รวมไปถึงนักแสดงอย่าง Paul Rudd และ Patrick Schwarzenegger, สองพี่น้องนักอเมริกันฟุตบอล J.J. และ T.J. Watt, นักว่ายน้ำโอลิมปิก Michael Phelps ตลอดจนอดีตนักกีฬาผู้ผันตัวสู่วงการโทรทัศน์ Michael Strahan
แบรนด์มากมายพากันเข้าหา John อย่างต่อเนื่องเพื่อเสนอให้เขามาลงทุน และงานต่อไปของเขาก็อยู่ระหว่างดำเนินการแล้ว เขายังไม่บอกแน่ชัดว่าคืออะไร แต่แอบกระซิบว่าเขาได้ทดลองเกี่ยวกับขนมหวานและทาโก้มาเมื่อเร็วๆ นี้
“ถ้าหากผมไม่ใช่นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่แล้ว ทำไมเพื่อนนักลงทุนถึงตามผมมากันล่ะ?” John Davis ว่า “ผมขอนิยามตัวเองว่าเป็นนักปั้นร้านอาหารก็แล้วกัน”
แปลและเรียบเรียงจาก Meet The Billionaire s Son And I, Robot Producer Whose Biggest Splash Could Be Dave s Hot Chicken ซึ่งเผยแพร่บน Forbes
อ่านเพิ่มเติม : เศรษฐีพันล้านติดหาด
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine