Jared Isaacman มักมองวิธีการใช้ “ชีวิตน่าเบื่อที่เป็นประโยชน์” ของเขา เหมือนกับเครื่องบินขับไล่ ที่มีจำนวนชั่วโมงบินเหลือไม่มาก ก่อนที่จะกลายเป็นพาหนะที่ไร้ประโยชน์
“คุณมีชั่วโมงบินอยู่ไม่มาก แต่คุณต้องใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีประโยชน์ที่สุดเท่าที่จะทำได้” Isaacman กล่าว ขณะได้รับสายเรียกเข้าจากสำนักงาน Shift4 Payments ในเมือง Allentown รัฐ Pennsylvania ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็น ก่อนที่เขาจะต้องออกเดินทางกลับบ้านเกิดที่รัฐ Montana “เขาเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า เราต่างมีชีวิตน่าเบื่อที่จำกัด ดังนั้นเราต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่” Michael พี่ชาย Isaacman กล่าวเสริม
Jared Isaacman เริ่มทำธุรกิจแรกของตนเอง ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี เป็นระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมัธยม เพื่อที่จะทำธุรกิจเครื่องรูดบัตรเครดิต (credit card terminal) อย่างจริงจัง ซึ่งต่อมาในวัย 28 ปี เขาได้เริ่มทำธุรกิจ ที่กลายมาเป็นบริษัทเครื่องบินเอกชนรายใหญ่ที่สุดของโลก ภายใต้ชื่อ Draken International ก่อนที่จะขายให้กับบริษัท Blackstone 8 ปีต่อมา ในมูลค่า 9 หลัก และล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2020 Isaacman ในวัย 37 ปี ได้ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีคนใหม่ล่าสุด หลังจากที่ได้นำบริษัทรับชำระค่าสินค้าและบริการในร้านอาหารและโรงแรม (restaurant-and-hotel-payments firm) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่มหาเศรษฐี Jack Dorsey’s ที่เป็นเจ้าของ Square บริษัทรับชำระเงินที่มีชื่อเสียง มีฐานลูกค้าหลักเป็นร้านกาแฟภายในหมู่บ้าน บริษัท Shift4 Payments ของ Isaacman กลับมุ่งไปที่การทำธุรกรรมของธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Hilton, Four Seasons, KFC และ Arby’s ที่ต้องพึ่งพาระบบการชำระเงินในทุกๆ พื้นที่ที่ขยายสาขาออกไป อย่างไรก็ดี แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลให้ธุรกิจการบริการทั่วทั้งประเทศเกิดความชะงักงัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น “คนก็ยังต้องกินใช่ไหม” Isaacman กล่าว
ปัจจุบัน Isaacman มีทรัพย์สินสุทธิ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกว่าร้อยละ 38 ของมูลค่าทั้งหมดมาจากธุรกิจ Shift4 Payments ขณะที่สัดส่วนของหุ้นที่เหลืออยู่ใน Draken International มีมูลค่าประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งในรูปของสินทรัพย์ อย่างเครื่องบินขับไล่ MiG และเครื่องบินประเภทอื่นๆ อีก 9 ลำ
กล่าวได้ว่า Isaacman คือ บุคคลที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยตั้งแต่เด็ก ในช่วงที่เขาศึกษาอยู่ชั้นมัธยมในชานเมือง Far Hills รัฐ New Jersey พี่ชายของเขา ซึ่งอายุมากกว่า 8 ปี ชื่อ Michael กำลังซื้อบ้านหลังแรกในชีวิต ขณะที่ Tiffany และ Marc ซึ่งอายุ 27 และ 30 ปีตามลำดับ เริ่มทำงานก่อร่างสร้างตัว ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ ลูกคนเล็กและคนเดียวที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ อย่าง Isaacman “รู้สึกมีแรงผลักดันที่จะออกไปใช้ชีวิตแบบพี่ๆ เพราะขณะนั้นก็ไม่มีแรงบันดาลใจในการเรียนเท่าไหร่” เขากล่าว
ในปี 1998 Isaacman ร่วมกับ Brendan Lauber เพื่อนรุ่นพี่ที่อายุมากกว่า 2 ปี ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ชื่อว่า Decho Systems เพื่อช่วยธุรกิจท้องถิ่น ด้านการออกแบบเว็บไซต์ ซึ่งหนึ่งในลูกค้ารายแรกๆ ของพวกเขา คือ Merchant Services Inc. (MSI) บริษัทรับชำระค่าสินค้าและบริการใน New Jersey ซึ่งนอกจาก MSI จะต้องการผู้ช่วยในการทำเว็บไซต์แล้ว บริษัทดังกล่าวยังต้องการความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ Isaacman จึงเสนอตนเองเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาขององค์กร ซึ่งหลังจากที่งานชั่วคราว ได้กลายมาเป็นงานประจำ เขาในวัย 16 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนมัธยม และเลือกที่จะสอบเทียบเท่าวุฒิมัธยมปลายแทน (General Educational Development-GED)
ธุรกิจหลักของ MSI คือ การขายเครื่องรูดบัตรเครดิตด้วยแผ่นแม่เหล็ก กล่าวคือ ธนาคารจะออกบัตรให้กับลูกค้า และคาดหวังว่าธุรกิจเล็กๆ จะสามารถรับรูดบัตรดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย ซึ่งกระบวนการการรับชำระเงินที่เกิดขึ้น จะถูกดำเนินการภายใต้บริษัทภายนอก ซึ่งในที่นี้ คือ MSI อย่างไรก็ดี แม้ Isaacman จะดำรงตำแหน่งอยู่ในแผนกไอที เขาก็ยังมองว่ากระบวนการในการทำธุรกรรมดังกล่าวของบริษัท มีความยุ่งยาก และราคาค่อนข้างสูง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทพิซซ่าท้องถิ่นต้องการรับบัตรเครดิต จะต้องใช้ระยะเวลาถึง 2 สัปดาห์ ในการจัดทำเอกสาร และชำระค่าธรรมเนียมมากมาย ก่อนที่ร้านจะสามารถทำธุรกรรมที่กล่าวมาได้
“เมื่อ 21 ปีก่อน การจะลงทะเบียนรับบัตรเครดิต ต้องใช้เอกสารมากพอๆ กับการจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (commercial mortgage) นับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น” Isaacman กล่าว
หลักจากทำงานที่ MSI ได้ 6 เดือน เขาตัดสินใจที่จะทำให้กระบวนการรับชำระเงิน มีความสะดวก รวดเร็ว และราคาถูกลง ดังนั้นเขาจึงลาออกจากบริษัท และเริ่มทำงานกับ United Bank Card ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Shift4 บริษัทที่ตั้งอยู่ในห้องใต้ดินของครอบครัว ซึ่งมีพนักงานคนแรก คือ Don คุณพ่อของเขา ที่ขณะนั้นเพิ่งลาออกจากตำแหน่งรองประธานด้านการขาย ของบริษัทที่ให้บริการเฝ้าระวังความปลอดภัยบ้าน
ทั้งนี้ Isaacman ได้อาศัยเครือข่ายจาก MSI และเงินกู้จากคุณปู่เป็นจำนวน 10,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะโน้มน้าวธนาคาร ในการขอหมายเลขตัวแทนมาใช้ในการขายเครื่องรูดบัตรเครดิต และหลังจากนั้น เขาจึงทำการว่าจ้าง Lauber เพื่อนร่วมงานคนเดิมครั้นสมัยก่อตั้ง Decho ซึ่ง Lauber ก็ได้ตอบตกลง และตัดสินใจพักการเรียนที่ The Rocher Institute of Technology
“Isaacman ไม่ได้ใช้เวลาในการโน้มน้าวผมมากนัก และแม้ว่าผมจะยังไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ แต่ ณ เวลานั้นผมรู้ว่า เด็กคนนี้เป็นของจริง” Lauber ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนก “Harbortouch” ซึ่งเป็นซอฟแวร์ทัชสกรีนของ Shift4 กล่าว
ทั้งสองคนช่วยกันสร้างเว็บไซต์ เพื่อที่จะทำให้กระบวนการในการรับบัตรเครดิตสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่ง ณ เวลานั้น นับเป็นช่วงแรกที่อินเตอร์เน็ตกำลังเป็นที่รู้จักเลยก็ว่าได้ ในขณะเดียวกัน Don ผู้เป็นพ่อ ก็ได้ใช้ทักษะในการขาย มาช่วยโน้มน้าวบริษัทท้องถิ่นให้เข้ามาทดลองใช้บริการดังกล่าว ที่นำโดยเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่โตพอที่จะเรียนรู้การขับรถด้วยซ้ำ
“ผมไม่ได้ออกมาใช้ชีวิตแบบเด็กในวัยเดียวกันเท่าไหร่ เพราะส่วนมากจะเก็บตัวอยู่แต่ที่ชั้นใต้ดิน” Isaacman กล่าวถึงอดีตวัยเด็กของตนเอง
ในปี 2003 เขาสามารถหาเงินมาคืนคุณปู่ และขยายธุรกิจออกไปยังนอกรัฐ New Jersey (Garden State) ซึ่งสิ่งนี้ คือ ภาพสะท้อนของธุรกิจที่ดำเนินมาตลอด 4 ปี ที่มีลูกค้ารายใหม่กว่าพันราย จนสามารถเปิดสำนักงานในเมือง Arizona ได้ มากกว่านั้นในปี 2008 ภายหลังจากการเปิดตัว Harbortouch ซึ่งเป็นทัชสกรีนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานระหว่างเครื่องคิดเงิน (cash register) และเครื่องรูดบัตรเครดิตไว้ในเครื่องเดียวเป็นเครื่องแรก “เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่บริษัทอย่าง Square และคู่แข่งอื่นๆ จะเริ่มทำ พวกเรานำหน้าพวกเขาอยู่หลายก้าว และนี่คือหนึ่งในข้อได้เปรียบ” Isaacman กล่าว
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ Isaacman กลับเริ่มรู้สึกหมดไฟจากการก่อร่างบริษัทตั้งแต่แรกเริ่ม เขาจึงตัดสินใจที่จะหันไปหางานอดิเรกเพื่อผ่อนคลาย ซึ่งก็คือ การบิน โดยเขาเริ่มต้นจากการขับเครื่องบินใบพัด (prop planes) เป็นเวลากว่า 2 ปี กระทั่งเขารู้สึกอยากพัฒนาตนเองให้มีทักษะที่ดีขึ้นไปอีก จึงเริ่มฝึกฝนและเก็บชั่วโมงบิน เพื่อที่จะสามารถขับเครื่องบินเจ็ทได้
ในที่สุด ในปี 2009 ด้วยวัยเพียง 26 ปี Isaacman สามารถขับเครื่องบินเจ็ทน้ำหนักเบา (light jet) รอบโลก ในอัตราที่เร็วที่สุด โดยบินไปกลับจาก Morristown, New Jersey ผ่าน Azores และ Alaska โดยใช้ระยะเวลาเพียง 61 ชั่วโมง 51 นาที ซึ่งเร็วกว่าสถิติเก่าที่มีถึง 21 ชั่วโมง ซึ่งความสำเร็จในการบินของเขาในครั้งนี้ สามารถระดมเงินทุนกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐให้กับมูลนิธิ Make-A-Wish Foundation (ความพยายามในครั้งแรกของ Isaacman ล้มเหลว เพราะนโยบายจากทางการอินเดีย ที่ทำให้การบินช้าลง)
ทั้งนี้ หลังจากที่ Isaacman ค้นพบว่า บุคคลธรรมดาก็สามารถขับเครื่องบินทางการทหารได้ ถ้าหากว่ามีชั่วโมงการบินที่เพียงพอ และผ่านคุณสมบัตร FAA เขาจึงเริ่มเรียนรู้ที่จะขับเครื่องบินขับไล่ (fighter jet)
ในปี 2010 จากการขับเครื่องบินที่เคยเป็นเพียงงานอดิเรก ก็ได้กลายมาเป็นงานพาร์ทไทม์ เมื่อ Isaacman พบกับ Sean Gustafson หนึ่งในสมาชิกของ Thunderbirds ซึ่งเป็นฝูงบินผาดโผนของกองทัพอากาศ (Air Force stunt squadron) ที่มีชื่อเสียง ซึ่งชื่อเรียกของ Gustafson คือ “Stroker” (ส่วนของ Isaacman คือ “Rook” ซึ่งมาจาก Rookie) ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะได้ช่วยกันจัดตั้ง กลุ่มฝูงบินแสดงทางอากาศ (air-show squadron) ภายใต้ชื่อ The Black Diamond Jet Team ร่วมกับนักบินที่เกษียณ และกลุ่มบุคคลทั่วไปที่มีทักษะในด้านนี้ เพื่อทำการแสดงกายกรรมทางอากาศ (aerial acrobats) ในงาน NFL games และ the Indy 500
“มีคนจำนวนน้อยมาก ที่เป็นบุคคลธรรมดา แล้วมีโอกาสเข้ามาขับเครื่องบินขับไล่ อีกทั้งยังผ่านการรับรองโดย FAA ซึ่งยากมาก และนี่ก็เป็นบทพิสูจน์ ให้เห็นถึงความหลงใหลของเขา” Gustafons กล่าว
อย่างไรก็ดี 1 ปีหลังจากนั้น ทั้งสองคนมีความคิดที่ดีกว่าเดิม กล่าวคือ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ฐานทัพของสหรัฐมีความจำเป็นที่จะต้องตัดงบประมาณรายจ่าย ซึ่ง ณ ขณะนั้น ฐานทัพทหารอากาศ Nellis Air Force Base ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Las Vegas เป็นโรงเรียนฝึกทหารอากาศ ที่ใช้งบประมาณกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ ในการฝึกนักบินในสงครามจำลอง ซึ่งการฝึกนี้จำเป็นต้องอาศัยนักบินที่มีความเชี่ยวชาญ และกำลังอยู่ในสนามรบ มาเป็นผู้ฝึก
จากปัญหาข้างต้นทำให้ Isaacman และ Sean Gustafson มองเห็นโอกาส ในการที่จะโน้มน้าวให้กองทัพอากาศผลักหน้าที่ในการฝึกให้อยู่ในการดูแลของบริษัทภายนอก ซึ่งในที่นี้ ทั้งสองมองว่า พวกเขาสามารถรวบรวมเครื่องบินทางทหารที่ไม่ใช้แล้ว จากพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อนำเข้ามาใช้ฝึก ในราคาที่ต่ำกว่าปกติ อีกทั้งยังสามารถนำนักบินที่เกษียณไปแล้วในกลุ่มฝูงบินทางอากาศมาเป็นครูฝึก ซึ่งวิธีนี้จะสามารถทำให้นักบินมืออาชีพกลับไปปฏิบัติการในสนามรบ แทนที่จะมาทำการฝึกทหารอากาศน้องใหม่ที่ทะเลสาบ Nevada
ท้ายที่สุด การก่อตั้ง Draken International ก็เกิดขึ้น โดยมูลค่าในการลงทุนส่วนใหญ่ในการเข้าซื้อเครื่องบินรบจากรอบโลกมาจาก Isaacman เป็นหลัก อาทิ Douglas A-4 Skyhawks จาก นิวซีแลนด์, Atlas Cheetahs จากแอฟริกาใต้, Aero L-159s จากสาธารณรัฐเช็ก จนในที่สุด เขาสามารถรวบรวมได้ถึง 100 ลำ และกลายเป็นฐานทัพเครื่องบินทหารอากาศของเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อย่างไรก็ดี ทหารเรือมีระบบวัฒนธรรมการทำงานที่ยากที่จะเข้าถึง จึงทำให้ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าที่ Draken จะได้เซ็นสัญญาฉบับแรกในปี 2015 ทั้งนี้ แม้แต่ Scott “Kidd” Poteet ผู้ที่ใช้เวลา 7 ปีในฐานะผู้บังคับบัญชา และผู้ทดสอบนักบินที่ Nellis Air Force Base เองก็ยังมีความลังเล ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมทำงานกับ Draken เพื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
“ผมคิดว่ามันเป็นเส้นทางที่ยาวนาน ... แต่ (Isaacman) เห็นว่ามีความต้องการในด้านนี้ แต่เมื่อเขาก้าวเท้าข้าไปในประตูได้แล้ว เขาก็สามารถให้บริการสิ่งที่กองทัพอากาศต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” Poteet กล่าว
Isaacman ใช้เวลาในการทำงานต่อวันราว 16 ชั่วโมง ซึ่งประมาณร้อยละ 15 คือช่วงเวลาที่เขาใช้กับการบริหาร Draken “สิ่งที่ผมต้องให้ความสนใจที่ Draken ณ เวลานั้น คือ การซื้อเครื่องบินขับไล่ก่อนที่คนอื่นจะทำ แต่ Shift4 ยังคงเป็นงานหลักของผม”
ในปี 2014 นายจ้างเก่าอย่าง MSI กำลังมองหาผู้ซื้อกิจการ ซึ่ง Isaacman มองเห็นประโยชน์ในการต่อยอดของธุรกิจรับชำระเงินดังกล่าว ที่ตนเองดำเนินการมากว่า 15 ปี จึงตัดสินใจขายหุ้นของ Shift4 ในอัตราร้อยละ 53.5 ให้กับบริษัทเอกชนอย่าง Prospect Capital เป็นมูลค่า 279 ล้านเหรียญ เพื่อนำเงินที่ได้มาเข้าซื้อ MSI ในมูลค่า 250 ล้านเหรียญ
เหตุการณ์นี้ นับเป็นการควบรวมครั้งแรกจากทั้งหมดเจ็ดครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 Shift4 ได้เข้าซื้อกิจการบริษัทซอฟแวร์คู่แข่งในเครือร้านอาหารอีก 3 บริษัท เพื่อขยายฐานลูกค้าไปถึง 100,000 ราย ยกตัวอย่างเช่น Outback Steakhouse and Denny’s ที่เป็นเชนระดับประเทศ ซึ่งการควบรวมดังกล่าวทำให้ Shift4 สามารถทำเงินได้มากกว่า 100 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี แม้ว่าการทำธุรกิจในวงการนี้ จะมีกำไร เพราะผู้ให้บริการจะได้ส่วนแบ่งเพียงไม่กี่เซ็นต์จากการทำธุรกรรม แต่ด้วยรูปแบบของซอฟแวร์กว่า 100 รูปแบบ และอุปกรณ์ที่สามารถรองรับการจ่ายเงินได้อย่างหลากหลายของบริษัท ทำให้ Isaacman สามรถจับกลุ่มลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นได้ “นั่นคือการเข้าซื้อกิจการที่ดีที่สุด เพราะทำให้เราได้ฐานของลูกค้าทั้งตลาดการบริการ”
ยิ่งไปกว่านั้น 7 เดือนต่อมา Isaacman ก็สามารถปิดดีลทางการค้าในมูลค่า 280 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะฝึกนักบินที่ Nellis Air Force Base เป็นเวลา 5 ปี
แม้แต่เพื่อนสมัยเรียนของเขาก็ไม่ได้รู้สึกตกใจในความสำเร็จนี้เท่าไหร่นัก “เขาเป็นคนที่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะทำออกมาให้ดีที่สุด และเขาสามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วในทุกอุตสาหกรรมที่เขาทำ เขาทำได้ดี แม้จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ก็ตาม ด้วยบุคคลิกภาพของเขา คือ สังเกต เอาชนะ และทำให้ดีที่สุด” Lauber กล่าว
Jared Isaacman ก้าวสู่ปี 2020 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 9 หลัก และมีความคิดที่จะเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) แต่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ในวันที่ 18 มีนาคม 2020 เมื่อดัชนี S&P 500 อยู่ที่จุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ หลังจากที่เคยเกิดขึ้นในปี 1987 ส่งผลให้มีการใช้ระบบ circuit breaker เพื่อระงับการซื้อขายชั่วคราว
มากกว่านั้น แผนการที่เคยวางไว้ทั้งหมดของ Shift4 ในสัปดาห์ต่อๆไป ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เมื่อได้ทราบข่าวจาก Tom Wolf ผู้ว่าการรัฐ Pennsylavania ที่มีคำสั่งให้ทุกคนอยู่บ้าน ซึ่งหมายความว่า สำนักงานของ Shif4 จะต้องปิดด้วยเช่นกัน
“นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจุดหนึ่งในชีวิตเลย มีหลายคำถามที่เข้ามาในหัวของผมตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น พนักงานจะได้กลับมาที่สำนักงานอีกเมื่อไหร่ แล้วบริษัทจะอยู่รอดไหม” ซึ่งจากรายงานสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ยอดการทำธุรกรรมของ Shift4 จากทั้งหมด 125,000 ร้านอาหาร ลดลงถึงร้อยละ 74 เมื่อเทียบกับสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ยอดการใช้บริการจากฝั่งโรงแรมลดลงถึงร้อยละ 86
ในช่วงนั้น ทุกคนกลับบ้านยกเว้น Isaacman มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังทำงานอยู่ที่บริษัทขนาด 80,000 ตารางฟุตของ โดยทำงาน 16 ชั่วโมงในวันจันทร์-ศุกร์ และ 5-9 ชั่วโมงในวันหยุดสุดสัปดาห์ และเพื่อที่จะยังรักษาฐานของลูกค้าไว้อยู่ เขาได้งดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมเป็นเวลา 3 เดือน พร้อมทั้งเปิดบริการเว็บไซต์ใหม่ ที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้ามาซื้อบัตรกำนัลของขวัญได้ นอกจากนี้ยังออก QR codes สำหรับการชำระเงินโดยไม่ต้องสัมผัส ตลอดจนบริการใหม่ที่จะเข้ามาช่วยร้านอาหารในการรับออเดอร์ทางออนไลน์ ทำให้ในที่สุดรายได้ของ Shift4 กลับมาเพิ่มขึ้นถึง 5%
ในเดือนพฤษภาคม 2020 การทำธุรกรรมจากฝั่งร้านอาหารได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ในอัตราสูงถึงร้อยละ 45 จากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม แม้ว่าธุรกรรมจากฝั่งโรงแรมจะยังไม่ดีขึ้นก็ตาม
และในเดือนมิถุนายน<