บริษัท Praetorian Capital ของ Harris Kupperman มักจะค้นหาโอกาสเข้าลงทุนในกิจการที่หวือหวาน่าตื่นเต้นจากทุกแง่มุมของตลาด ตั้งแต่บิตคอยน์ไปยันก๊าซธรรมชาติ
บางครั้งเงินทุนตั้งต้นที่ดีที่สุดสำหรับเส้นทางอาชีพด้านการลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็คือจังหวะเวลาที่ประจวบเหมาะ ในปี 1997 Harris Kupperman ซึ่งเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 3 ของโรงเรียนมัธยมปลายเริ่มสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะพาดหัวข่าวในช่วงนั้นมีแต่เรื่องเกี่ยวกับวิกฤตการเงินของเอเชีย และความคลั่งไคล้หุ้นประเภทดอทคอมของนักลงทุนในตลาด
พอถึงช่วงที่เขาก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยที่ Tulane University ในอีก 2 ปีต่อมา หุ้นเทคโนโลยีก็ขยับขึ้นมาถึงเกือบ 200% นับตั้งแต่ที่ Netscape ขายหุ้น IPO ในช่วงฤดูร้อนของปี 1995 และในช่วง 2-3 เดือนถัดจากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปอีกเท่าตัว
ตอนนี้เองที่ว่าที่ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่าง Kupperman สังเกตเห็นว่า หุ้นในกลุ่มดอทคอมหลายต่อหลายตัวสุดท้ายก็ราคาร่วงพรวดพราดเมื่อพ้นกำหนดเวลาห้ามนักลงทุน VC ขายหุ้นออก และนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเทขายหุ้นออกมาในตลาด
ในช่วงต้นปี 2000 Kupperman หรือที่เพื่อนๆ ของเขาเรียกว่า “Kuppy” ได้นำเงิน 6,000 เหรียญสหรัฐฯ ที่เขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนจากการทำความสะอาดสระว่ายน้ำให้กับคนที่อยู่ในแถบชายฝั่งตอนเหนือของ Long Island มาเริ่มซื้อพุทออปชัน
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ การขายชอร์ตหุ้น dotbomb (หุ้นกลุ่ม dot-com ที่ล้มเหลว) อย่างเช่น Commerce One และ Foundry Networks และเมื่อฟองสบู่แตกในเดือนมีนาคม ปี 2000 ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมาถึง 80% เขาก็ทำเงินไปได้พอสมควร
“ผมมีเงินในบัญชีเพียงแค่ 2,000-3,000 เหรียญเมื่อตอนต้นปี และพอถึงปลายปีผมกลับมีถึง 200,000-300,000 เหรียญ” Kupperman ในวัย 41 ปี พูดถึงอดีตในตอนนั้น “มันทำให้ผมได้เห็นศักยภาพว่า ถ้าหากคุณใช้ความคิดหนักกว่าคนอื่นๆ คุณก็สามารถทำเงินได้มากมาย”
20 ปีต่อมาบริษัท Praetorian Capital ของเขามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากถึง 180 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นถึง 593% หลังหักค่าธรรมเนียมผลการดำเนินงาน 20% และค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการสินทรัพย์ 1.25% นับตั้งแต่ที่บริษัทเริ่มเปิดรับเงินทุนจากภายนอกในปี 2019
ทั้งนี้ในช่วงปี 2020 และ 2021 กองทุนของเขาซึ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์เพียง 10 กว่ารายการสร้างผลตอบแทนสูงถึงกว่า 100%
Kupperman เป็นนักลงทุนประเภทที่พร้อมจะเข้าลงทุนที่ไหนก็ได้ และพร้อมที่จะกระโจนเข้าลงทุนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยเขาคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการเข้าลงทุน 5 เท่า เขาไม่กลัวที่จะเข้าไปซื้อขายสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่งแม้เขาจะมองว่าสินทรัพย์เหล่านั้นไม่ได้มีมูลค่าที่แท้จริงใดๆ อยู่เลยก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปลายปี 2020 และต้นปี 2021 เขาทำกำไรจากบิตคอยน์ได้ถึง 6 เท่าตัว
เขาเชื่อว่าบิตคอยน์จะขึ้นในช่วงที่ Fed อัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในตลาด อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงแรกที่โควิดระบาด และจะตกเมื่อธนาคารกลางปรับมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น เขาเข้าไปซื้อบิตคอยน์ที่ราคาประมาณ 9,200 เหรียญในช่วงฤดูร้อนของปี 2020 และพอถึงปลายปีเงินสกุลคริปโตก็เป็นสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในพอร์ตการลงทุนของเขา
ต่อมาในเดือนมีนาคมและเมษายนปี 2021 เมื่อเงินเฟ้อเริ่มขยับขึ้นสูงเกินกว่าเป้าหมายของ Fed ที่ 2% Kupperman ก็คิดว่าการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางน่าจะจบรอบแล้ว ดังนั้น เขาจึงขายบิตคอยน์ออกไปที่ราคา 58,000 เหรียญ เพียง 2-3 เดือนก่อนที่มันจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่เกือบๆ 70,000 เหรียญ (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20,000 เหรียญ)
นอกจากนี้ เขายังใช้โอกาสในช่วงที่เกิดโรคระบาดเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นอีก ได้แก่ หุ้นขนาดเล็กในกลุ่มก๊าซธรรมชาติและกลุ่มอาวุธปืน สำหรับในวันนี้เขามองบวกกับกลุ่มที่อยู่อาศัยซึ่งถูกกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้นในสถานที่อย่างในรัฐ Florida ซึ่งจะยังคงดึงดูดให้มีผู้คนย้ายเข้ามาจากรัฐอื่นๆ ที่เก็บภาษีแพงกว่า
“ทุกๆ ประมาณ 18-24 เดือนจะต้องมีอุตสาหกรรมหนึ่งที่ทำให้ผู้คนแตกตื่น และเป็นโอกาสให้คุณเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมนั้นได้ในราคาถูกๆ” Kupperman กล่าว “เรื่องราวของชีวิตผมก็เป็นแบบนั้นแหละ ผมอดทนและผมรอจนผู้คนสติแตกเต็มที่แล้วจึงค่อยเข้าไปซื้อ”
ปี 2003 Kupperman เรียนจบระดับปริญญาตรี สาขาประวัติศาสตร์ จาก Tulane เขาเปิดกองทุนเฮดจ์ฟันด์และย้ายมาที่ Miami ตอนนั้นกองทุนของเขากำลังไปได้สวย แต่เมื่อเกิดวิกฤตการเงินในปี 2008 เขาก็ปิดมันไป
ต่อมาในปี 2010 เขามั่นใจว่าประเทศมองโกเลีย ซึ่งมีทรัพยากรทองแดงและถ่านหินอุดมสมบูรณ์จะต้องเฟื่องฟู ดังนั้น เขาจึงเข้าไปกุมอำนาจบริหารในบริษัทการค้าที่มีแต่เปลือก และไม่ได้ดำเนินกิจการใดจริงจังในประเทศแคนาดา
จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Mongolia Growth Group และเริ่มเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ Ulaanbaatar แต่โชคไม่ดี หลังจากที่ Mongolia Growth Group เปิดสำนักงานในปี 2011 ได้ไม่นาน รัฐบาลมองโกเลียก็เริ่มคุมการลงทุนจากต่างประเทศ และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจก็ชะลอตัวลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
ทุกวันนี้รายได้ส่วนใหญ่ของ Mongolia Growth Group ซึ่งอยู่ที่ 2.5 ล้านเหรียญมาจากจดหมายข่าวที่ใช้ชื่อว่า Kuppy’s Event Driven Monitor ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ Mongolia เลย และคิดราคาเดือนละ 400 เหรียญ
ในปี 2019 เขากลับมาเปิดบริษัท Praetorian ร่วมกับ Wes Cooper ซึ่งเป็นอดีตพนักงานของ Ernst & Young โดยอาศัยเงินของพวกเขาเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการลงทุนที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในพอร์ตทุกวันนี้คือ การลงทุนในแร่ยูเรเนียม ซึ่งทนผ่านช่วงตลาดขาลงมานานถึง 14 ปีแล้ว และน้ำมันดิบ
ผลการดำเนินงานของกลุ่มพลังงานที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ช่วยให้ Praetorian ยังขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2022 จนถึงเดือนกรกฎาคมขยับขึ้นมาแล้ว 9.1% ดีกว่าดัชนี S&P 500 ที่ลดลง 13.3%
แต่อัตราดอกเบี้ยที่กำลังขยับสูงขึ้นส่งผลกระทบกับหุ้นของเขาในกลุ่มที่อยู่อาศัย เช่น The St. Joe Company ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในพอร์ตของเขานับตั้งแต่ที่หุ้นตกในปี 2020 (อ่านเพิ่มเติม “พอร์ตการลงทุนของ Kuppy” ในล้อมกรอบ)
St. Joe เป็นเจ้าของที่ดิน 170,000 เอเคอร์ที่อยู่บริเวณส่วนต้นของแหลม Florida โดยรายได้โตถึง 66% ในปี 2021 ในขณะที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาถึง 3 เท่าจาก 20 เหรียญเป็น 60 เหรียญ ระหว่างเดือนกันยายน ปี 2020 และเมษายน ปี 2022
แต่นับจากนั้นก็ตกกลับลงมาอยู่ที่ 37 เหรียญ “ทุกคนพากันตื่นตระหนกกับอัตราดอกเบี้ยและการจดจำนอง” Kupperman กล่าว “ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอก ภายใน 1 ปีอัตราดอกเบี้ยก็จะลง แต่ผู้คนจาก New York จะยังคงย้ายมาที่ Florida อยู่ดี”
ถึงแม้ว่า Kupperman จะมองบวกกับแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ใน Florida แต่ตัวเขาเองได้ย้ายกิจการของ Praetorian มาตั้งริมชายหาดที่ Rincon ใน Puerto Rico ซึ่งอัตราภาษียิ่งถูกลงไปอีก เขากำลังพิจารณาจะปิดกองทุนของเขาเมื่อมูลค่าสินทรัพย์ขยับขึ้นไปจนถึง 250 ล้านเหรียญ
“ผมมีเพื่อนที่บริหารกองทุนระดับพันล้านเหรียญ และพวกเขาก็มีเงินมากกว่าผม” เขากล่าว “แต่แค่นี้ผมก็ไม่สามารถใช้เงินที่ผมหามาทั้งชีวิตได้หมดแล้ว”
เรื่อง: Hank Tucker. เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา ภาพ: Guerin Blask
อ่านเพิ่มเติม: ต่อท่อเชื่อมคลาวด์