เมื่อ Bitcoin พุ่งแรงอีกครั้งบล็อกเชนจึงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากทันที ตอนนี้บล็อกเชนกว่า 50 รายมีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้หลายเครือข่ายจะมีผู้ใช้งานแค่หยิบมือเดียวก็ตาม
ณ ปี 2012 เมื่อ Jed McCaleb, Arthur Britto และ David Schwartz ผู้บุกเบิกวงการบล็อกเชนก่อตั้ง Ripple Labs และสร้างเงินคริปโตสกุลใหม่ชื่อ XRP พวกเขาคาดหวังว่าจะสร้างมาตรฐานใหม่ด้านการเงินในระดับโลกซึ่งจะช่วยให้ธนาคารโอนเงินได้อย่างรวดเร็วโดยคิดค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด
ในช่วงทศวรรษแรกบริษัทนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากสถาบันการเงินหลายสิบแห่งซึ่งรวมถึง Bank of America และ Banco Santander ที่อยากลองทดสอบเครือข่ายใหม่ของ Ripple ผู้บริหารของบริษัทระดมทุนทำโครงการอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยการสร้างโทเคน XRP จำนวน 1 แสนล้านโทเคนออกมาขายให้แก่สาธารณชนคิดเป็นมูลค่ารวม 1.4 พันล้านเหรียญ และเมื่อต้นปี 2018 ช่วงที่เงินคริปโตราคาพุ่งสูงสุดรอบแรก โทเคน XRP มีการซื้อขายกันโดยมูลค่าในตลาด 1.32 แสนล้านเหรียญ ทำให้ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารมีทรัพย์สินสุทธิ 8 พันล้านเหรียญ
แต่ถ้าเราดูการไหลของเงินทั่วโลกก็จะเห็นว่าทุกวันนี้ Ripple Labs ไม่ได้มีบทบาทมากนัก และมีไม่กี่คนที่เชื่อว่าบล็อกเชนรายนี้จะมาแทนที่ SWIFT ซึ่งเป็นระบบความร่วมมือระหว่างธนาคารที่ก่อตั้งในเบลเยียมและดูแลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารมูลค่า 5 ล้านล้านเหรียญต่อวัน แม้พันธกิจหลักจะไม่สำเร็จ แต่บล็อกเชนของ Ripple ซึ่งเป็นสมุดบัญชี (ledger) ที่รวบรวมธุรกรรมในสกุลเงิน XRP ก็ยังมีการใช้งานอยู่ และถึงแม้เงิน XRP ส่วนใหญ่จะไม่ได้มีการใช้งาน แต่โทเคนสกุลนี้ก็ยังมีมูลค่าในตลาด 3.6 หมื่นล้านเหรียญและเป็นเงินคริปโตที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 6 ทำให้ Larsen ยังคงเป็นเศรษฐีพันล้านด้วยทรัพย์สินประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญ
ข้อมูลจาก Messari ชี้ว่า ในปีที่แล้วบัญชี XRP ของ Ripple ได้ค่าธรรมเนียมการประมวลผลธุรกรรมทั้งเครือข่ายแค่ 583,000 เหรียญ หรือถ้าพูดเป็นภาษา Wall Street ก็เท่ากับว่า XRP มีอัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (price-to-sales ratio) 61,689 เท่า ในขณะที่หุ้น Nvidia ซึ่งร้อนแรงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกิน 2 ล้านล้านเหรียญและรายได้ 6.1 หมื่นล้านเหรียญนั้นมีอัตราส่วนราคาต่อยอดขาย 37 เท่า
Ripple Labs ถือเป็นซอมบี้คริปโตแห่งหนึ่ง เพราะถึงแม้โทเคน XRP จะมีการซื้อขายเกิดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญต่อวัน แต่ก็ไม่มีการใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกจากการเก็งกำไร และไม่เพียงแต่ระบบ SWIFT จะยังใช้งานได้ดีอยู่ ปัจจุบันก็มีวิธีการใหม่อื่นๆ ที่ใช้บล็อกเชนมาช่วยให้ส่งเงินข้ามประเทศได้ดีขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะการใช้สกุลเงินคริปโตที่มีสินทรัพย์อ้างอิง (stablecoin) เช่น Tether ซึ่งตรึงมูลค่าไว้กับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ และมีโทเคนเวียนอยู่ในระบบคิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม Ripple ไม่ใช่ซอมบี้เพียงตัวเดียว ผลการสืบสวนของ Forbes เผยว่า แม้จะมีบล็อกเชนอื่นนอกเหนือจาก Bitcoin และ Ethereum อีกแค่ไม่กี่เครือข่ายที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทุกวันนี้มีบล็อกเชนไม่ต่ำกว่า 50 รายที่มีมูลค่าการซื้อขายเกิน 1 พันล้านเหรียญ และมีอย่างน้อย 20 รายในจำนวนนี้กลายเป็นซอมบี้ที่ยังขยับได้อยู่
หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) อนุมัติให้มีการตั้งกองทุนรวมเพื่อการลงทุนใน Bitcoin (spot bitcoin ETF) ตลาดเงินคริปโตก็กลับมาเฟื่องฟู บล็อกเชน 20 เครือข่ายที่ Forbes เลือกมาวิเคราะห์นั้น (ดูเพิ่มเติมตาราง “บล็อกเชนไร้ประโยชน์”) มีความทะเยอทะยานฝันเฟื่องตั้งแต่การสร้างคอมพิวเตอร์ครอบจักรวาล ไปจนถึงเครือข่ายการชำระเงินที่ไม่อาจแกะรอยได้ และซอมบี้ฝูงนี้มีมูลค่าในตลาดรวมกันถึง 1.16 แสนล้านเหรียญ แต่ส่วนใหญ่มีจำนวนผู้ใช้งานนิดเดียว
แต่อย่าหวังว่า XRP หรือสิ่งประดิษฐ์คริปโตพวกนี้จะล้มหายไปง่ายๆ เพราะ Ripple และบริษัทอื่นๆ ซึ่งมีเงินทุนตุนใส่หีบไว้หลายพันล้านจะยังอยู่ไปได้อีกหลายปี ทุกวันนี้ Ripple มีโทเคน XRP อยู่ในบัญชีดูแลผลประโยชน์มูลค่า 2.4 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งบริษัทสามารถนำออกมาขายได้ในช่วง 4 ปีข้างหน้า
ปัจจุบันบริษัทจากเมือง San Francisco แห่งนี้มีพนักงาน 900 คนและยังแถลงข่าวต่างๆ ต่อสื่อ เช่น การเข้าซื้อกิจการดูแลรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล Standard Custody & Trust เมื่อไม่นานมานี้ และหลังจากตั้งมากว่าทศวรรษบริษัทนี้ก็ยังทำโครงการนำร่องด้านคริปโตร่วมกับธนาคารกลางของหลายประเทศ เช่น จอร์เจีย และสาธารณรัฐปาเลาในแปซิฟิกใต้
“เหมือนพวกกองทุนเงินร่วมลงทุนหรือบริษัทตั้งใหม่ที่ระดมทุนได้เยอะเกินไปจนไม่รู้จะใช้ยังไงให้เหมาะสมนั่นแหละ” Matt Hougan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Bitwise Asset Management กล่าว “และไม่มีวิธีคืนเงินในคลังให้นักลงทุน”
ยิ่งกว่านั้นฝูงซอมบี้บล็อกเชนผู้ล่ำซำในโลกเพี้ยนๆ ของสินทรัพย์ดิจิทัลก็ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่บริษัทแบบดั้งเดิมต้องคอยระวังด้วย บริษัทบล็อกเชนไม่มีผู้ถือหุ้นหรือหน่วยงานกำกับดูแลมาถามหางบการเงิน และการขายชอร์ตโทเคนก็ทำยากกว่าหุ้น ดังนั้น ตราบใดที่ยังมีเหล่านักเก็งกำไรซื้อขายโทเคนกันอย่างเหลือเฟือแบบนี้ดินแดนดิจิทัลก็จะมีฝูงซอมบี้กระเป๋าตุงเดินเพ่นพ่านต่อไป
นักร่วมลงทุนผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งกล่าวว่า “ไม่มีกระบวนการใดๆ ที่จะค่อยๆ ปิดกิจการสำหรับเครือข่ายคริปโตที่ตายแล้ว”
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Josef Lakonishok วิถีการลงทุนแนวขี้เกียจ