โชคปลายไม้กอล์ฟของมหาเศรษฐีผู้สร้างแบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟ 'PXG' - Forbes Thailand

โชคปลายไม้กอล์ฟของมหาเศรษฐีผู้สร้างแบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟ 'PXG'

FORBES THAILAND / ADMIN
23 Feb 2018 | 02:18 PM
READ 10919

หลังทำเงินได้จาก GoDaddy มหาเศรษฐีผู้โผงผาง Bob Parsons ทุ่มเทพลังไปกับความหลงใหล 2 อย่างคือการแต่งมอเตอร์ไซค์และการเล่นกอล์ฟ

Bob Parsons เดินทอดน่องไปยังที่วางลูกกอล์ฟจุดแรกของสนามขนาด 18 หลุมที่ Scottsdale National กอล์ฟคลับสุดหรูอลังการหลายพันล้านเหรีญสหรัฐฯ ของเขาในรัฐ Arizona ชายร่างท้วมวัย 66 ปีผู้นี้ใส่เสื้อสีเขียวอมเหลืองปล่อยชาย มีตรา “U.S. Marine Corps” ติดอยู่เหนืออกซ้าย ส่วนที่หูซ้ายมีต่างหูสีดำขนาดใหญ่สลักตัวอักษร “PXG” ซึ่งเป็นตัวย่อแบรนด์อุปกรณ์กอล์ฟของเขาชื่อ Parsons Xtreme Golf Parsons ผู้ก่อตั้ง GoDaddy ผู้ให้บริการจดโดเมนเว็บไซต์รายใหญ่ มาถึงจุดนี้ได้ก็ด้วยความที่เป็นคนละเอียดอ่อน เขาคือผู้ทำให้ GoDaddy โด่งดังขึ้นในช่วงกลางยุค 2000s ด้วยโฆษณา Super Bowl อันหวือหวาที่มี Candice Michelle นางแบบ Playboy และ Danica Patrick นักแข่งรถ Nascar มาร่วมถ่ายด้วย Parsons ได้ชื่อว่าเป็นคนเพี้ยน ประหลาดและหัวขบถ ซึ่งนั่นเขาไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่เขาเป็นอะไรมากกว่านั้น มองลึกลงไปคุณจะพบมหาเศรษฐีผู้สร้างตัวขึ้นมาเองและมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน ยกเว้นบนสนามกอล์ฟ การสู้ชีวิตเพื่อให้ได้สิ่งที่มุ่งหมายโดยเร็วนั้น Parsons ทำมาตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเติบโตมาแบบคนยากคนจนในเมืองBaltimore แม่เขาเป็นแม่บ้าน ส่วนพ่อเป็นคนขายเฟอร์นิเจอร์ที่ Montgomery Ward และทั้งคู่เป็นนักพนันตัวยง “ไพ่ ม้า บิงโก พูดมาเลย” Parsons กล่าว “คุณไม่รวยหรอกถ้าเป็นนักพนัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เริ่มต้นด้วยเงินก้อนใหญ่” เมื่อ Parsons ต้องการอะไรบางอย่างเช่น ลูกบอล หรือถุงมือเบสบอล เขาต้องหาทางซื้อมันมาให้ได้ โดยหนึ่งในแผนที่ได้ผลที่สุด คือการขายหนังสือพิมพ์ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใคร เขาจะไปตรงป้ายรถเมล์ที่คนชอบมารอรถกันแต่เช้าหยอดเหรียญ 25 เซนต์เข้าไปในตู้ขายหนังสือพิมพ์แล้วเอาหนังสือพิมพ์ออกมาให้หมด เมื่อรถเมล์เข้าป้ายเขาก็จะขายหนังสือพิมพ์ให้แก่ผู้โดยสารในราคาที่บวกเพิ่ม พอขายหมดก็จะหักส่วนที่เป็นกำไรเก็บเข้ากระเป๋า แล้วนำเงินค่าขายส่วนที่เหลือหยอดใส่กลับลงไปในตู้ สำหรับ Parsons แน่นอนว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่สำหรับหลีกหนีชีวิตจากที่บ้าน ดังนั้นเมื่อสอบตกชั้นมัธยมปลาย Parsons สมัครเข้าเป็นทหารเรือ เขาถูกส่งไปเวียดนามในปี 1969 ช่วงที่สงครามกำลังดุเดือด ในวันแรกที่จุดประจำการเสี่ยงตายชื่อ Hill 190 เขานั่งอยู่บนกำแพงและมองหุบเขาเบื้องล่างเขาคิดว่ากำลังจะตายแน่ๆ “ผมตัดสินใจ 2 อย่างตอนนั่งอยู่ตรงนั้น” เขานึก “ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้งานที่ดี และผมจะทำทุกอย่างเพื่ออยู่ไปจนถึงช่วงเวลาของการแจกจดหมายให้ทหารในวันถัดไป” แล้ว Parsons ก็ได้รับเหรียญ Combat Action Ribbon เหรียญ Vietnamese Cross of Gallantry และเหรียญ Purple Heart เขายกความดีความชอบให้กับช่วงเวลาในกองทัพเรือ สำหรับความสำเร็จทั้งหมดที่ตามมาภายหลัง “มันสอนให้ผมเชื่อมั่นในตัวเอง รับผิดชอบ มีระเบียบวินัย” หลังกลับมาแล้ว เขาทำงานที่โรงงาน Bethlehem Steel ช่วงสั้นๆ จากนั้นไปสมัครเรียนที่ University of Baltimore เขาเลือกเรียนเอกบัญชี และจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 2 ในที่สุดเขาได้ใบผู้สอบบัญชี CPA และเข้าทำงานในหน่วยสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ของบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อ Control Data หลังจากนั้นไม่นานนักเขาเริ่มเขียนโค้ดโปรแกรม “มันเป็นงานอดิเรก” เขากล่าว “แต่ผมทำได้ดีทีเดียว” แล้วนั่นนำไปสู่การก่อตั้งบริษัท Parsons Technology ในปี 1984 ซึ่งผลิตซอฟต์แวร์บริหารจัดการทางการเงิน ในปี 1994 บริษัทแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Cedar Rapids ในรัฐ Iowa ก็มีพนักงาน 1,000 คน และมีรายได้ 100 ล้านเหรียญ จากนั้น Parsons ตัดสินใจเดินออกมา “ผมไม่คิดว่าซอฟต์แวร์นั่นจะมีอนาคตมากนัก” เขากล่าว และปีนั้นเขาก็ขายบริษัทให้กับ Intuit มูลค่า 64 ล้านเหรียญ ในปี 1997 เขาก่อตั้งบริษัท Jomax Technologies ทำธุรกิจหลักคือการออกแบบเว็บไซต์ “ปัญหาก็คือธุรกิจนั้นมันไม่โต” เขากล่าว “ผมเรียนรู้ว่าถ้าอยากทำเงิน ก็ต้องทำให้มีเงินไหลเข้าแม้จะหลับอยู่” Parsons เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น GoDaddy และขยายจุดสนใจในการทำธุรกิจหลักออกไปยังการขายโดเมน โดเมนแรกที่ GoDaddy ขายได้ชื่อ ghettojustice.com โดยขายให้กับชายชาว Arizona คนหนึ่งในปี 2000 แต่ก็มีปัญหาเรื่องขาดปัจจัยหนุนธุรกิจ จากนั้นเกิดภาวะฟองสบู่แตกในธุรกิจดอตคอมและบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งเริ่มจมดิ่งลง ยกเว้น GoDaddy “กลายเป็นว่าเราเป็นเจ้าเดียวที่จ่ายบิล” Parsons กล่าว “เราไม่ได้ทำอะไรแตกต่างไปเลย แต่ก็นั่นแหละ เราได้แจ้งเกิด” การเติบโตของ GoDaddy เป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคงจนถึงปี 2005 เมื่อ Parsons คิดแผนการตลาดชิ้นโบแดงขึ้นมา ในปีนั้นบริษัทออกอากาศโฆษณา Super Bowl ครั้งแรก นำแสดงโดย Candice Michelle และล้อเหตุการณ์ “เสื้อผ้าทำงานผิดปกติ” อันน่าอับอายของ Janet Jackson จากงานปีก่อนหน้านั้น โฆษณาดังกล่าวควรได้ออกอากาศ 2 รอบ แต่ Fox ซึ่งถ่ายทอดการแข่งขันช่วงนั้น ตัดสินใจว่ามันล่อแหลมเกินไป และระงับการออกอากาศครั้งที่ 2 ซึ่งนั่นทำได้แค่เพียงปลุกความสนใจยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับตลาดให้บริการจดโดเมนทั่วโลก GoDaddy มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 25% ในสัปดาห์ถัดจากนั้นแล้วภาพลักษณ์ซีอีโอหัวขบถก็ถูกสร้างขึ้น “เราเข้าสู่ธุรกิจที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นแล้วทำให้มันสนุกขึ้นมา จากนั้นผมก็เปลี่ยนมันให้มีมูลค่า 2 พันล้านเหรียญ” เงินที่ว่านั่นเริ่มไหลเข้ามาในปี 2011 เมื่อเขาขายหุ้น GoDaddy สัดส่วน 72% ให้กับบรรดาบริษัทที่ลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์หลายแห่ง (ที่รวมถึง KKR และ Silver Lake Partners) แล้วหุ้นในส่วนที่เหลืออยู่อีก 28% ก็มีมูลค่าพุ่งทะยานเมื่อบริษัทออกขายไอพีโอในปี 2015 แต่สิ่งที่เงินทำได้คือการเปิดทางให้ Parsons สร้างเส้นทางอาชีพใหม่ทั้งหมดในธุรกิจที่แตกต่างกัน 15 อย่าง พร้อมด้วยพนักงาน 700 คน ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้แบรนด์ YAM Worldwide (YAM ย่อมาจาก“แกมันดูไม่ได้เลย” ซึ่งเป็นคำเก่าแก่ของ Baltimore ในการแสดงความรักจากวัยเยาว์ของเขา) ธุรกิจเหล่านั้นประกอบด้วย บริษัทอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เอเจนซี่โฆษณา และสตูดิโอภาพยนตร์ แต่ธุรกิจแรกของ Parsons ต่อจาก GoDaddy มุ่งเน้นไปที่ความหลงใหลในสิ่งสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือมอเตอร์ไซค์ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของธุรกิจดีลเลอร์ของ Harley-Davidson 2 แห่ง (แห่งหนึ่งอยู่ที่ Scottsdale และอีกแห่งอยู่ใน Mississippi) และบริษัทดีลเลอร์อีก 2 แห่งที่ขายรถอื่นๆ อีก 9 แบรนด์ ซึ่งสร้างรายได้ต่อปีที่ 90 ล้านเหรียญ Scottsdale Harley ครอบคลุมพื้นที่ 150,000 ตารางฟุต มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ธุรกิจถัดมามุ่งเน้นไปที่กอล์ฟ ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขารัก Parsons เริ่มเล่นกอล์ฟอย่างจริงจังตอนอายุราว 30 ในเมือง Cedar Rapids และหมกมุ่นกับการเสริมแต่งอุปกรณ์ เขาอ้างว่าใน 1 ปีเขาหมดเงินไปกับเทคโนโลยีไม้กอล์ฟ 350,000 เหรียญโดยที่ยังไม่เจอแบบไหนที่ลงตัว ซึ่ง PXG คือทางออก Parsons ดึงตัว 2 ดีไซเนอร์มาจาก Ping และมีคำสั่งง่ายๆ เพียงว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ได้ในการสร้างสรรค์เพื่อให้สิ่งที่พิเศษจริงๆ ปี 2015 PXG เปิดตัวไม้กอล์ฟรุ่นแรกและทำเงินได้ 2.7 ล้านเหรียญ ส่วนปีนี้คาดว่ารายได้จะแตะ 80 ล้านเหรียญ แม้ PXG จะเติบโต แต่ก็ไม่ได้ออกแบบมาให้จับตลาดแมส ไม้กอล์ฟชุดหนึ่งของบริษัทราคา 5,000 เหรียญ และผลิตตามสั่งทั้งหมดจำหน่ายให้เฉพาะลูกค้าที่มาลองเลือกอุปกรณ์ด้วยตัวเอง ซึ่งรวมถึงบริการที่เรียกว่า “The Xperience” ซึ่งส่งมอบประสบการณ์อย่างพิถีพิถันที่กอล์ฟคลับ Scottsdale National ที่มาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่ม ที่พัก และแพ็กเกจกอล์ฟ 45 หลุม (รวมถึง 18 หลุมที่ร่วมตีกับผู้ช่วยเลือกอุปกรณ์ หลังได้รับไม้กอล์ฟแล้ว) The Xperience มีราคาเริ่มต้นที่ 17,500 เหรียญ และขณะนี้มีผู้เลือกมาใช้บริการแล้ว 122 ราย เรื่อง: Monte Burke เรียบเรียง: ชูแอตต์ ภาพ: Tim Pannell
คลิ๊กอ่าน "โชคปลายไม้กอล์ฟ" เพิ่มเติมได้ใน นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2561 ในรูปแบบ E-Magazine