ลาภลอยลับๆ ของ Donald Trump - Forbes Thailand

ลาภลอยลับๆ ของ Donald Trump

FORBES THAILAND / ADMIN
12 Jun 2019 | 09:37 AM
READ 3924

ทรัพย์สินก้อนใหญ่ที่สุดของประธานาธิบดี Donald Trump คือหุ้นส่วนมูลค่า 900 ล้านเหรียญในอาคาร 2 แห่งที่ไม่มีชื่อเขาเป็นผู้ถือหุ้น นั่นเกิดจากการจัดการที่แม้แต่ผู้เช่าบางคนของเขาก็ไม่ล่วงรู้ และเป็นสิ่งที่เขาพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะกำจัด

คงไม่ง่ายนักที่จะหลบเลี่ยงประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อต้องย่างกรายผ่านถนนในย่านมิดทาวน์ของ Manhattan อาคาร Trump Tower ตั้งตระหง่านบนถนน Fifth Avenue ห่างไป 2 ช่วงตึกเป็นที่ตั้งอาคาร Trump Parc และ Trump Parc East นอกจากนี้ ยังมี Trump International Hotel & Tower, Trump World Tower และ Trump Plaza และที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่อาคารเหล่านี้คืออสังหาริมทรัพย์อีกแห่งของ Trump คือ 1290 Avenue of the Americas อาคารระฟ้าดูน่าเกรงขามที่ไม่มีชื่อประธานาธิบดี แต่มูลค่าของมันมากมายกว่าอาคาร Trump อื่นๆ ความนิยมที่ลดลงของแบรนด์ Trump เริ่มขึ้นที่อาคาร Trump Tower ในช่วงเดียวกับที่เขาเปิดตัวสู้ศึกเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ในงานนั้น Trump กล่าวเหยียดหยามผู้อพยพชาวเม็กซิกันว่าเป็น “อาชญากรข่มขืน” ภายในไม่กี่สัปดาห์ บรรดาหุ้นส่วนธุรกิจที่จ่ายเงินเพื่อขอใช้ชื่อของเขาเป็นตรายี่ห้อที่นอน เสื้อเชิ้ต เนกไท ต่างก็พากันถอยห่างจากเขา ในที่สุดปฏิกิริยาโต้กลับทางการเมืองแบบฉับพลันส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ของ Trump มูลค่าคอนโดฯ ของเขาตกต่ำลง คนจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือไปพักร้อนที่รีสอร์ตใน Miami ของเขาน้อยลง ขณะที่ผู้เช่าเชิงพาณิชย์พากันเลิกเช่าอสังหาริมทรัพย์ของเขา ข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์แจ้งว่าอาคารอีก 2 แห่ง ของ Trump กำลังเอาชื่อของเขาออก หลังจากที่อาคารใน Toronto, Panama และ New York ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว
ผลกำไรของอาคาร Trump Tower ลดลงต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 2014-2017 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูล
การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่ากับพอร์ตธุรกิจไหนๆ ในกรณีของ Trump นั่นหมายถึงอาคารสำคัญ 2 แห่งที่ไม่ปรากฏชื่อของเขา ได้แก่ อาคาร 1290 Avenue of the Americas ใน New York และ 555 California Street ใน San Francisco อาคารเหล่านี้ไม่ได้มี Trump Organization เป็นผู้บริหารจัดการ หากแต่เป็น Vornado บริษัทอสังหาริมทรัพย์มหาชน ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 70 ในอาคารทั้งสองแห่ง ซึ่ง Trump เป็นเจ้าของหุ้นส่วนที่เหลือ Forbes ประเมินว่า สินทรัพย์แห่งอื่นๆ ของ Trump มีมูลค่าลดลงถึง 600 ล้านเหรียญตั้งแต่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากความตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และแบรนด์ Trump ที่เสื่อมทรามลง อย่างไรก็ตามอาคารสำนักงาน 2 แห่งที่ไม่มีชื่อ Trump มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 230 ล้านเหรียญโดยประมาณ  

Steven Roth เศรษฐีหลังม่านของ Donald Trump

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 Trump เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวและต้องดิ้นรนหาเงินจ่ายสินเชื่อมูลค่า 200 ล้านเหรียญที่ใช้ที่ดิน 75 เอเคอร์ (ราว 190 ไร่) ในเขต Upper West Side ของ Manhattan ของเขาเป็นหลักประกัน กลุ่มนักลงทุนกระเป๋าหนักจากฮ่องกง รวมทั้ง Henry Cheng และ Vincent Lo เสนอตัวช่วยไถ่ถอนให้ในข้อตกลงมูลค่า 89 ล้านเหรียญ พวกเขาชำระหนี้ให้ Trump แลกเปลี่ยนกับหุ้นร้อยละ 70 ในที่ดินผืนดังกล่าว และสิทธิขาดในการบริหารจัดการ ก่อนหน้านี้ Trump มีแผนจะสร้างอะพาร์ตเมนต์หรู 16 หลังบนที่ดินผืนนั้น แต่ในปี 2005 นักลงทุนชาวฮ่องกงวิตกว่าตลาดจะล่มและตกลงที่จะขายโครงการที่พัฒนาแล้วบางส่วนเป็นเงิน 1.76 พันล้านเหรียญ พวกเขาตั้งใจจะนำเงินไปลงทุนในโครงการ 2 แห่งที่คาดว่าจะปลอดภัยกว่า ได้แก่ 1290 Avenue of the Americas และ 555 California Street Trump ไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ตั้งแต่แรก จึงยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอให้ยกเลิกความเป็นหุ้นส่วนและเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 1 พันล้านเหรียญ โดยอ้างว่าเขามองสถานการณ์ขาดกว่าหุ้นส่วนของเขา ผู้พิพากษาไม่ได้ใส่ใจกับ Trump มากไปกว่าผู้ร่วมลงทุนของเขาและในที่สุดศาลมีคำสั่งให้ยกฟ้อง
อาคาร 555 California Street ใน San Francisco ปัจจุบันหนึ่งในผู้เช่าของอาคารนี้คือ Bank of India ซึ่งเป็นของรัฐบาล
ข้อตกลงธุรกิจเดินหน้าไปด้วยดี หุ้นส่วนฮ่องกงของ Trump แลกเปลี่ยนที่ดินส่วนหนึ่งกับอาคารสำนักงาน 2 แห่ง โดยที่ Trump ไม่มีทางเลือกและได้แต่เพียงโอดครวญที่ต้องติดร่างแหไปด้วย เป็นโชคดีสำหรับเขา แผนที่เขาเรียกว่าเป็น “ความผิดพลาดร้ายแรง” และต่อสู้ที่จะขัดขวาง กลับกลายเป็นหนึ่งในข้อตกลงธุรกิจที่ดีที่สุดในชีวิต ขณะที่มหาเศรษฐี Steven Roth กรรมการผู้จัดการ Vornado ได้เข้ามาซื้อหุ้นร้อยละ 70 ที่เป็นส่วนของนักลงทุนฮ่องกงในเดือนพฤษภาคมปี 2007 ทำให้เขากลายเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับว่าที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา Roth ในวัย 77 ปี มีสายสัมพันธ์กับ Trump มายาวนาน ในช่วงต้นยุค 90 ทั้งคู่ถือหุ้นจำนวนมากของเชนห้างสรรพสินค้า Alexander’s ทั้งสองต่างมีแนวทางการทำธุรกิจของตัวเอง แต่ในช่วงใกล้ๆ กันนั้น ภาระหนี้สินมหาศาลของ Trump ดังกล่าวทำให้เขาถูก Citibank ยึดหุ้นในห้าง Alexandra’s และสามปีต่อมา Roth ซื้อหุ้นคืนกลับมาในราคาต่ำกว่าราคาตลาดร้อยละ 20
ตั้งแต่ Trump เข้ารับตำแหน่ง ไม่มีใครมีส่วนช่วยพยุงฐานะของเขามากไปกว่า Steven Roth ตัวเขาเองมีสินทรัพย์มูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญ
จากความพ่ายแพ้ครั้งนั้น Trump หันมาให้ความเคารพนับถือในตัว Roth มหาเศรษฐีผู้ที่มีคุณสมบัติแบบที่ Trump ต้องการจะเป็น นั่นคือหลักแหลม กล้าได้กล้าเสีย และสร้างฐานะด้วยตัวเอง ระหว่างการรณรงค์หาเสียงในปี 2016 Trump ติดต่อให้ Roth มาทำงานเป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้เขา เมื่อได้รับการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีมอบตำแหน่งในสภาโครงสร้างสาธารณูปโภคให้ LeFrak หุ้นส่วนของเขา ทำให้ Roth เป็นหนึ่งในกลุ่มมหาเศรษฐีเบื้องหลังทำเนียบขาว (ร่วมกับ Adelson, Ruffin, Perlmutter และ Hamm) ผู้ที่ประธานาธิบดียอมรับฟังแต่ไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล  

ส้มหล่นโดยไม่ต้องลงมือ

Roth ได้ลงเงินไปหลายล้านเพื่อบูรณะอาคาร 1290 Avenue of the Americas และ 555 California Street โดยหวังจะทำกำไรมากขึ้นจากอสังหาริมทรัพย์ทั้งสองแห่งในระยะยาว ในปี 2012 และ 2013 Vornado ลงเงิน 31 ล้านเหรียญเพื่อปรับโฉมหน้าตาร้านค้า ลิฟต์ และล็อบบี้ ของอาคาร 1290 Avenue of the Americas ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวช่วยดึงดูดผู้เช่ารายใหม่ๆ ในอัตราค่าเช่าที่สูงกว่าเดิม กระทั่งปี 2015 ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าที่ราคาเฉลี่ยตารางฟุตละ 82 เหรียญ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากอัตราที่พวกเขาจ่ายเมื่อ 4 ปีก่อน
ค่าเช่าที่ 1290 Avenue of the Americas ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับโฉมล็อบบี้อาคาร
ในปี 2015 เขาหันมาปรับปรุง 555 California Street และอาคารอีก 2 แห่งในคอมเพล็กซ์เดียวกัน Roth กล่าวกับนักวิเคราะห์หุ้นว่า Vornado กำลังยุ่งอยู่กับการบูรณะอาคารเลขที่ 315 Montgomery Street ซึ่งแล้วเสร็จ ในปี 2017 ค่าเช่าพุ่งขึ้นเกือบร้อยละ 50 ต่อไปเป็นการปรับปรุงอาคาร 345 Montgomery ทั้งที่ Vornado เพิ่งดำเนินการไปได้เพียงครึ่งทาง บริษัทก็ได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ 15 ปีกับ Regus บริษัทที่ดำเนินธุรกิจสำนักงานให้เช่าแบบ Co-working space รายได้จากการดำเนินงานสุทธิของคอมเพล็กซ์ที่ประกอบด้วยอาคาร 3 แห่งดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 ระหว่างที่ Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เท่ากับว่าหุ้นของเขาในสินทรัพย์แห่งนี้เพิ่มมูลค่าเป็น 130 ล้านเหรียญโดยประมาณ หุ้นร้อยละ 30 ของประธานาธิบดี Donald Trump ทำให้เขาเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากความสำเร็จนี้มากที่สุด แม้เขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับมันสักเท่าไหร่ก็ตาม   เรื่อง: Dan Alexander Chase และ Peterson-Withorn เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม   อ่านเพิ่มเติม
คลิกอ่านฉบับเต็ม “ลาภลอยลับๆ ของ Donald Trump” ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ พฤษภาคม 2562 กวิน กาญจนพาสน์