ผู้ชนะตัวจริง - Forbes Thailand

ผู้ชนะตัวจริง

FORBES THAILAND / ADMIN
22 Feb 2018 | 02:22 PM
READ 9814

Donald Trump ทำข้อตกลงด้วยแนวคิดแบบ “ผมชนะ คุณแพ้” มานานหลายสิบปีแล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะนำหลักกำไรเดียวกันนี้มาใช้ในการบริหารประเทศที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา

ถ้าหากว่า Trump เคยเรียกทำเนียบขาวว่า “กองขยะ” จริงๆ แล้วละก็ ตอนนี้เขาคงไม่คิดเช่นนั้นแล้ว เขาพา FORBES เดินชมด้านนอกอาคาร ดูสระว่ายน้ำที่สงบเงียบรวมถึงภายในห้องทำงานรูปไข่ซึ่งเพิ่งจะได้รับการตกแต่งใหม่ด้วยผ้าม่าน พรมและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสีทอง ในที่สุด เราก็มีประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากภาคเอกชนจริงๆ และเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองที่ให้การสนับสนุนระบบทุนนิยมแบบไม่มีการแทรกแซงและการค้าเสรีเป็นเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษมาแล้วรวมถึงเป็นผู้เสนอให้รัฐบาลลงโทษและให้รางวัลบริษัทต่างๆ โดยดูว่าบริษัทแต่ละแห่งเลือกตั้งโรงงานและสำนักงานที่ไหน แล้วท่านประธานาธิบดีรู้สึกอึดอัดกับแนวคิดนี้หรือไม่ Trump ตอบว่า “ผมไม่รู้สึกอึดอัดเลยสิ่งที่ผมต้องการทำก็คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ผมคิดว่าการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันเป็นแนวคิดที่ดีงามมากถ้าหากมีใครคิดค่าธรรมเนียมกับเรา 50% เราก็ควรจะคิดค่าธรรมเนียมกับเขา 50% เช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้เขาคิดค่าธรรมเนียมกับเรา 50% แต่เรากลับไม่คิดเงินเขาเลยผมว่าแบบนี้ใช้ไม่ได้” Trump ไม่เคยใช้วิธีการนี้เลย Donald Trump ไม่ได้ร่ำรวยจากการสร้างอาณาจักรธุรกิจ แม้ว่าเขาจะใช้เวลาหลายปีในการสร้างความน่าสนใจให้กับแบรนด์ตนเองผ่านรายการ The Apprentice และการโหวตหลายล้านครั้งจากผู้ชมที่ต้องการมีประสบการณ์เช่นเดียวกับผู้เข้าแข่งขันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ความจริงแล้ว ความถนัดของ Trump คือการทำธุรกรรมต่างๆ ได้แก่ การซื้อขาย และการนำเสนอและดำเนินการเจรจาต่อรองดีลธุรกิจซึ่ง Trump มั่นใจว่าตัวเขาจะเป็นผู้ชนะโดยไม่สนใจว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นกับคนอื่น ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ นี้เป็นสิ่งสำคัญมาก บรรดาผู้ประกอบการและนักธุรกิจจะสร้างและบริหารองค์กรซึ่งมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย ได้แก่ ผู้ถือหุ้นลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และท้องถิ่นตามทฤษฎีแล้ว ทุกฝ่ายมีส่วนในความสำเร็จขององค์กร อย่างเช่น Apple ภายใต้การบริหารงานของ Steve Jobs และ Tim Cook ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นในช่วงแรกๆ ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเกือบ 400 เท่าและทำให้พนักงานซึ่งมีสิทธิในการซื้อหุ้นของบริษัท หลายพันคนกลายเป็นเศรษฐี (ทำให้ฐานภาษีในท้องถิ่นสูงขึ้น) รวมถึงได้ส่งผ่านความมหัศจรรย์ดังกล่าวให้กับซัพพลายเออร์สัญชาติไต้หวันอย่าง Foxconn และทำให้ลูกค้ามีความสุขสุดขีด แม้ว่าต้องเฝ้ารอทั้งคืนก่อนจะจ่ายเงินหลายร้อยเหรียญเพื่อแลกกับสินค้าที่จะล้าสมัยอีก 2 ปีต่อมา เกือบ 1 ปีหลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งมีผลการเลือกตั้งที่พลิกความคาดหมายมากที่สุดในรอบหลายสิบปี นักวิเคราะห์การเมืองต่างยอมรับว่าประธานาธิบดี Trump ยังสามารถสร้างความตกอกตกใจให้กับพวกตนได้อยู่เสมอความจริงแล้วพวกเขาไม่ควรตกใจเพราะมุมมองต่อโลกของ Trump ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย แทนที่จะใช้การบริหารบ้านเมืองมาเป็นโอกาสในการเปลี่ยนอุดมการณ์ให้เป็นนโยบายที่มีผลในทางปฏิบัติ แต่ Trump กลับมองการบริหารประเทศแบบเดียวกับการที่เขาดำเนินธุรกิจ ซึ่งหมายถึงการทำดีลไปเรื่อยๆ เพื่อหาผู้ชนะหรือผู้แพ้ ทั้งบนโต๊ะเจรจาและในสายตาของสาธารณชน หากลองมองดูช่วงปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ Trump แล้ว จะพบว่าคำกล่าวข้างต้นเป็นความจริง และยังเป็นเค้าลางบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปี หรือ 7 ปีข้างหน้าได้อีกด้วย ถ้าถามประธานาธิบดี Trump ว่าเขาสนุกสนานกับงานใหม่นี้ไหม เขาก็จะตอบอย่างรวดเร็วว่า “ผมสนุกและชื่นชอบงานนี้มากทีเดียว เราประสบความสำเร็จมากตลาดหุ้นก็ขยายตัวสูงสุดเท่าที่เคยเป็นมาอัตราการว่างงานก็ต่ำที่สุดในรอบเกือบ17 ปี เราจะมีตัวเลขที่น่าทึ่งออกมาให้เห็นอีกหลายตัว” ตัวเลขอันน่าทึ่งไม่ใช่วิธีการที่คนส่วนใหญ่ใช้วัดความสนุกสนาน แต่สำหรับ Trump กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาเขียนไว้ในหนังสือ The Art of the Deal ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เมื่อ 30 ปีที่แล้วว่า “คนอื่นๆ อาจชื่นชอบการวาดภาพสวยงามลงบนผืนผ้าใบ หรือแต่งโคลงกลอนอันไพเราะ แต่ผมชอบการทำดีล โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีลขนาดใหญ่ซึ่งถือเป็นความบันเทิงของผม” ตัวเลขยังเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จของ Trump และเป็นตัวตัดสินผู้ชนะหรือผู้แพ้ในทุกดีล รวมถึงเป็นเครื่องมือใช้ในการจัดอันดับในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Trump ใช้เวลามากกว่าใครๆ ในจำนวนประมาณ 1,600 คนซึ่งมีชื่ออยู่ในการจัดอันดับ Forbes 400 ในการโน้มน้าว FORBES ให้เพิ่มการประเมินมูลค่าทรัพย์สินให้สูงขึ้น รวมถึงทำการตรวจสอบความถูกต้องด้วย นอกจากนี้ตัวเลขยังเป็นเครื่องมือในการวัดความกล้าบ้าบิ่นของ Trump อีกด้วยเขาบริหารประเทศด้วยวิธีการเดียวกันนี้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งก็คือการยึดมั่นในคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ถึงแม้ว่าคำสัญญานั้นจะเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างที่สุด รวมถึงคำสัญญาแบบที่นักการเมืองคนอื่นๆ จะผละหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจในทางการเมืองจริงๆ อย่างเช่น การบังคับให้เม็กซิโกจ่ายเงินค่าก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่าง 2 ประเทศในช่วงที่อัตราการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายลดลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ หรือการถอนตัวจากข้อตกลง Paris ว่าด้วยการปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นความสมัครใจของสหรัฐอเมริกาเอง โดย Trump จะหยิบยกข้อมูลตัวเลขใดๆ ก็ตามที่แสดงว่าจุดยืนของเขามีความถูกต้องชอบธรรมขึ้นมาอ้างเสมอๆ ในวงโคจรของ Trump เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีใครที่ไว้ใจได้ เมื่อ 10 ปีที่แล้วDonald Trump Jr. บุตรชายประธานาธิบดี Trump เคยให้สัมภาษณ์ FORBES เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “เมื่อตอนผมอายุ 5 หรือ 6 ขวบผมไปทำงานกับพ่อ...นอกจากพร่ำสอนผมว่าอย่าดื่มเหล้า อย่าสูบบุหรี่ และอย่าเที่ยวจีบผู้หญิงไปทั่ว พ่อจะบอกผมอยู่เสมอว่า ‘อย่าไว้ใจใคร’ เมื่อพ่อถามผมว่ามีใครไว้ใจได้บ้าง ผมก็จะตอบว่า ‘ไม่มี’ เมื่อพ่อถามว่า ‘ลูกไว้ใจพ่อหรือไม่’ ผมจะตอบว่า ‘ผมไว้ใจพ่อ’ แต่พ่อจะบอกผมว่า‘แม้แต่พ่อก็ห้ามไว้ใจ’” รายการ The Apprentice ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า Donald Trump มีบริษัทขนาดใหญ่ยักษ์ แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น Trump Organization มีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์จำนวน 22 รายการ พร้อมทีมงานบริหารทรัพย์สินแต่ละรายการTrump Organization ให้สิทธิในการใช้แบรนด์กับองค์กรต่างๆ สิบกว่าแห่งโดยเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ สรุปแล้วความน่าประทับใจของ Trump Organization เกิดจากประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจมากกว่าความใหญ่โตขององค์กร Trumpใช้ประโยชน์จากแนวความคิดของเขารวมถึงทักษะชั้นยอดในฐานะนักการตลาดและนักแสดงของเขาในระหว่างการรณรงค์ หาเสียงจนสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ “ไม่มีใครพูดถึงประเด็นนี้เลย แต่ผมใช้เงินในการหาเสียงน้อยกว่า และผมเป็นผู้ชนะ” Trump กล่าว และเขาพูดถูกต้องอย่างที่สุด เรื่อง: Randall Lane เรียบเรียง: ริศา
คลิ๊กอ่าน "ผู้ชนะตัวจริง" เพิ่มเติมได้ใน นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2561 ในรูปแบบ E-Magazine