ทำอย่างไรถึงเอาชนะทั้ง WALL STREET และ SILICON VALLEY ไปพร้อมกันได้ - Forbes Thailand

ทำอย่างไรถึงเอาชนะทั้ง WALL STREET และ SILICON VALLEY ไปพร้อมกันได้

FORBES THAILAND / ADMIN
05 Apr 2018 | 02:35 PM
READ 11191

ความฝันของคนอเมริกันกลับมามีชีวิตอีกครั้งในตลาดหุ้น Wall Street เพราะ Robert Smith ชายผิวสีที่รวยที่สุดในอเมริกาพบหนทางที่จะปฏิวัติวงการซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรและธุรกิจ private equity ไปพร้อมๆ กัน และใช้เครื่องมือนี้สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้ถึง 4.4 พันล้านเหรียญ

ในบ่ายวันเสาร์กลางฤดูท่องเที่ยวที่โรงแรมดังในแถบ South Beach เรามาพบกับ Robert Smith ผู้ก่อตั้ง Vista Equity Partners สิ่งที่ทำให้เขาต่างจากคนอื่นไม่ใช่ชุดสูทที่ไม่ซ้ำแบบใครเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการบริหารของเขา ซึ่งแตกต่างจากบริษัท private equity อื่นๆ เพราะตลอด 18 ปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง Vista มา Smith เลือกลงทุนแต่ในบริษัทซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว

“ไม่มีใครเคยสอนคนพวกนี้ว่าการบริหารบริษัทซอฟต์แวร์ต้องทำอย่างไร” Smith ซึ่งเป็นอดีตวิศวกรเล่าให้เราฟังขณะที่เขาพักรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมใน Southbeach “และเราก็ทำได้ดีกว่าสถาบันไหนๆ บนโลกใบนี้”

ที่ Smith พูดมานี้รวมถึงบริษัทอย่าง Oracle และ Microsoft ด้วย ซึ่งตัวเลขที่เขาทำได้มันก็ยืนยันว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ โดยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นมาที่ Austin ในปี 2000 กองทุนส่วนบุคคลของ Vista สร้างผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมให้กับหุ้นส่วนผู้ร่วมลงทุนสูงถึงปีละ 22% แค่เพียงผลตอบแทนในปีที่แล้วปีเดียวสูงถึง 4 พันล้านเหรียญ

เมื่อดูจากตัวเลขเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ Vista เป็นบริษัทประเภท private equity ที่โตเร็วที่สุดในอเมริกา ซึ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงถึง 3.1 หมื่นล้านเหรียญ โดยยังคงเน้นไปที่การลงทุนในกิจการซอฟต์แวร์แบบ B2B (business-to-business)

เหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ Robert Smith สามารถเลือกลงทุนได้อย่างรวดเร็วก็คือ เขาเชื่อว่าในขณะที่บริษัท private equity อื่นๆ มัวแต่มองหาจุดอ่อนของบริษัทที่ขาดประสิทธิภาพ Vista สามารถที่จะปรับปรุงระบบการทำงานของทุกบริษัทที่ซื้อเข้ามาได้ 

ปัจจุบัน มูลค่าสินทรัพย์ของ Smith สูงถึง 4.4 พันล้านเหรียญ แซงหน้า Oprah Winfrey ขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีผิวสีที่รวยที่สุดในอเมริกาไปเรียบร้อย นอกจากนี้ Vista ยังทำให้เกิดมหาเศรษฐีพันล้านอีกคนหนึ่งคือ Brian Sheth ซึ่งเป็น President ของบริษัทอายุ 42 ปี และเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่า 2 พันล้านเหรียญ

การก้าวขึ้นมาของ Smith ก็ต้องถือว่าไม่ธรรมดา เพราะแม้ในวันนี้ที่เขากลายมาเป็นคนรวยอันดับที่ 155 ของสหรัฐฯ และอันดับที่ 480 ของโลก แต่เขายังต้องเผชิญกับปัญหาของการเหยียดผิวอยู่ อย่างเช่นเมื่อไม่นานมานี้ เขาได้รับเชิญให้ไปรับประทานมื้อเย็นกับกลุ่มผู้บริหารระดับสูงในตลาดหุ้น Wall Street และหนึ่งในนั้นก็เป็นนายธนาคารใหญ่ของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อ Smith สั่งเช็กบิล นายธนาคารคนนั้นห้ามเขาไว้แล้วพูดขำๆ ว่า “ผมยอมให้คนดำเลี้ยงข้าวเย็นผมไม่ได้หรอก”

“มันหมายความว่าเราต้องทำงานหนักขึ้นกว่านี้...นั่นก็คือสิ่งที่เราทำนั่นเอง” Smith กล่าว

John Utendahl Vice Chairman ของ Bank of America และนักการเงินแอฟริกัน-อเมริกันรุ่นบุกเบิกของตลาดหุ้น Wall Street คือหนึ่งในคนที่เห็นแววของ Smith มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ เขาคือคนที่ชวนให้ Smith มาทำงานใน Wall Street

หลังเรียนจบปริญญาโทจาก Columbia Business School เขาเข้าทำงานกับ Goldman Sachs ในแผนก Mergers and Acquisitions และในบรรดาลูกค้าแถวหน้าทั้งหลายของเขา Universal Computer Systems เป็นลูกค้ารายเล็กๆ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์สำหรับโชว์รูมขายรถที่เตะตา Smith ซึ่งเขาพบว่ามาร์จิ้นของบริษัทนี้สูงกว่าบริษัทต่างๆ ที่เขาเคยดูแลมาก่อน แต่เจ้าของบริษัทกลับไม่นำเงินกลับมาลงทุนพัฒนาบริษัทให้ขยาย และเจ้าของยืนยันว่าให้ Smith เป็นคนดูแลเรื่องนั้นแทนจะดีกว่า

Smith จึงคว้าโอกาสนี้ไว้และตัดสินใจลาออกจาก Goldman เขาเริ่มลงมือสรรหาผู้ร่วมก่อตั้งในปี 1999 ซึ่งได้แก่ เพื่อนร่วมชั้นเรียนบริหารธุรกิจผู้มากความสามารถอย่าง Stephen Davis และนักวิเคราะห์หนุ่มซึ่งเคยทำงานเป็นลูกน้องของเขาที่ Goldman อย่าง Brian Sheth Sheth เป็นดั่งหยางเพื่อเติมเต็มให้กับ Smith ซึ่งเป็นหยิน Sheth ทำงานเกี่ยวกับการซื้อและขายกิจการเป็นหลักเพื่อให้ Smith ผู้เป็นเจ้านายใช้เวลากับนักลงทุนและบริษัทได้อย่างเต็มที่

Brian Sheth ผู้ร่วมก่อตั้งที่เป็นดั่งหยางให้กับ Smith ที่เป็นหยิน (Photo Credit: worth.com)

เมื่อครั้งที่ Smith ลาออกจาก Goldman เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่คิดว่าเขาเสียสติ เพราะว่าเขาใกล้จะได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัท ซึ่งหมายความว่าเขากำลังจะได้รับผลประโยชน์มูลค่าหลายล้านเหรียญ

ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาธนาคารพาณิชย์จะไม่ปล่อยกู้ให้กับบริษัทซอฟต์แวร์เพราะบริษัทเหล่านี้ไม่มีทรัพย์สินที่คงทนถาวร Smith จะดำเนินธุรกิจไล่ล่าซื้อกิจการ (leveraged-buyout) บริษัทซอฟต์แวร์ได้อย่างไรหากไม่มีเงินจากการกู้ยืม และการลงทุนในธุรกิจเพียงธุรกิจเดียวซึ่งรหัสคำสั่งใหม่เพียงไม่กี่บรรทัดจากคู่แข่งสามารถทำให้บริษัทอีกแห่งต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปในช่วงข้ามคืนเช่นนี้นั้นยังดูจะมีความเสี่ยงสูงมากอีกด้วย

หากแต่ Smith มีมุมมองที่แตกต่างออกไป เขามองว่าซอฟต์แวร์กำลังดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ อีกไม่นานบริษัททุกแห่งจะกลายเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ “บริษัทเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ถ้าหากว่าไม่มีซอฟต์แวร์ของเรา” Smith กล่าว

Smith ทยอยซื้อกิจการเข้าพอร์ต โดยเริ่มจากการใช้เงินทุนของตัวเอง ก่อนจะเริ่มกู้เงินลงทุนในปี 2004 และเมื่อสถานการณ์เข้าที่เข้าทางแล้ว กองทุนเพื่อการซื้อกิจการแรกของ Smith ให้ผลตอบแทนเป็นกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย 29.2% ต่อปี Smith ระดมเงินจากนักลงทุนสถาบันมาจัดตั้งกองทุนที่ 2 ซึ่งให้ผลกำไรสุทธิ 27.7% ต่อปี

ในที่สุด เขาจึงกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีใน Wall Street ที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองคนแรกที่ไม่ใช่ชายผิวขาว

จากประสบการณ์ในการทำงานเป็นวิศวกรและอดีตมือฉมังใน Goldman เขาเริ่มลงมือเขียนสิ่งที่ต่อมาจะกลายเป็น Vista Standard Operating Procedures (VSOPs) หรือ Vista Best Practices 

สิ่งนี้เป็นเหมือนกับคู่มือผู้ใช้ว่าด้วยเรื่องการบริหารบริษัทในธุรกิจซอฟต์แวร์ คู่มือนี้ไม่ได้กล่าวถึงเพียงเรื่องประสิทธิภาพในการดำเนินงานเท่านั้น หากแต่ยังได้รวบรวมมาตรการลดต้นทุนและแนวคิดในการหารายได้จากค่าธรรมเนียมต่างๆ เอาไว้ รวมถึงรายละเอียดอันลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อย่างเช่นการบริหารสัญญา และขั้นตอนที่มีความจำเป็นเพื่อรับประกันว่าบริษัทจะได้รับเงินตอบแทนจากรหัสคำสั่งหรือบริการทุกอย่างที่ลูกค้าใช้งาน

Smith ได้จัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาภายในองค์กรที่มีชื่อว่า Vista Consulting Group พนักงานผู้มีความเชี่ยวชาญซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 100 คนนี้จะช่วยบริษัทในพอร์ตของ Vista ในการนำวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้งานจริง และคู่มือนี้ได้รับการจัดเก็บในห้องสมุดออนไลน์ที่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่านซึ่งจะสามารถเข้าใช้งานได้เฉพาะผู้จัดการของบริษัทในพอร์ตที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้น Vista Best Practices จึงเป็นเหมือนคัมภีร์สำคัญในการบริหารพอร์ตบริษัทซอฟต์แวร์ของ Vista

นอกจากนี้ในคู่มือยังระบุว่า เมื่อ Vista ตกลงจะซื้อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง พนักงานเดิมและพนักงานใหม่ทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบบุคลิกภาพและความถนัด เพื่อประเมินทักษะทางเทคนิคและทางสังคม รวมถึงพยายามที่จะวัดระดับความสามารถในการวิเคราะห์และการเป็นผู้นำ

สำหรับ Smith การทดสอบเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงอคติที่ติดตัวมา อย่างเช่นถิ่นพำนักอาศัยหรือสถานศึกษา รวมถึงเรื่องเชื้อชาติและเพศด้วย

“เราไม่ได้ลงทุนด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ แต่เราลงทุนโดยพิจารณาปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา” Smith กล่าว “สิ่งที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เราได้เปลี่ยนมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเรารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”

เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา, ริศา


คลิกอ่านฉบับเต็ม "ทำอย่างไรถึงเอาชนะทั้ง WALL STREET และ SILICON VALLEY ไปพร้อมกันได้" ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ เมษายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine