ความฝันของคนอเมริกันกลับมามีชีวิตอีกครั้งในตลาดหุ้น Wall Street เพราะ Robert Smith ชายผิวสีที่รวยที่สุดในอเมริกาพบหนทางที่จะปฏิวัติวงการซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรและธุรกิจ private equity ไปพร้อมๆ กัน และใช้เครื่องมือนี้สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้ถึง 4.4 พันล้านเหรียญ
ในบ่ายวันเสาร์กลางฤดูท่องเที่ยวที่โรงแรมดังในแถบ South Beach เรามาพบกับ Robert Smith ผู้ก่อตั้ง Vista Equity Partners สิ่งที่ทำให้เขาต่างจากคนอื่นไม่ใช่ชุดสูทที่ไม่ซ้ำแบบใครเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการบริหารของเขา ซึ่งแตกต่างจากบริษัท private equity อื่นๆ เพราะตลอด 18 ปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง Vista มา Smith เลือกลงทุนแต่ในบริษัทซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว
ที่ Smith พูดมานี้รวมถึงบริษัทอย่าง Oracle และ Microsoft ด้วย ซึ่งตัวเลขที่เขาทำได้มันก็ยืนยันว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ โดยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นมาที่ Austin ในปี 2000 กองทุนส่วนบุคคลของ Vista สร้างผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมให้กับหุ้นส่วนผู้ร่วมลงทุนสูงถึงปีละ 22% แค่เพียงผลตอบแทนในปีที่แล้วปีเดียวสูงถึง 4 พันล้านเหรียญ
ปัจจุบัน มูลค่าสินทรัพย์ของ Smith สูงถึง 4.4 พันล้านเหรียญ แซงหน้า Oprah Winfrey ขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีผิวสีที่รวยที่สุดในอเมริกาไปเรียบร้อย นอกจากนี้ Vista ยังทำให้เกิดมหาเศรษฐีพันล้านอีกคนหนึ่งคือ Brian Sheth ซึ่งเป็น President ของบริษัทอายุ 42 ปี และเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่า 2 พันล้านเหรียญ
“มันหมายความว่าเราต้องทำงานหนักขึ้นกว่านี้...นั่นก็คือสิ่งที่เราทำนั่นเอง” Smith กล่าว
John Utendahl Vice Chairman ของ Bank of America และนักการเงินแอฟริกัน-อเมริกันรุ่นบุกเบิกของตลาดหุ้น Wall Street คือหนึ่งในคนที่เห็นแววของ Smith มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ เขาคือคนที่ชวนให้ Smith มาทำงานใน Wall Street
หลังเรียนจบปริญญาโทจาก Columbia Business School เขาเข้าทำงานกับ Goldman Sachs ในแผนก Mergers and Acquisitions และในบรรดาลูกค้าแถวหน้าทั้งหลายของเขา Universal Computer Systems เป็นลูกค้ารายเล็กๆ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์สำหรับโชว์รูมขายรถที่เตะตา Smith ซึ่งเขาพบว่ามาร์จิ้นของบริษัทนี้สูงกว่าบริษัทต่างๆ ที่เขาเคยดูแลมาก่อน แต่เจ้าของบริษัทกลับไม่นำเงินกลับมาลงทุนพัฒนาบริษัทให้ขยาย และเจ้าของยืนยันว่าให้ Smith เป็นคนดูแลเรื่องนั้นแทนจะดีกว่า
เมื่อครั้งที่ Smith ลาออกจาก Goldman เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่คิดว่าเขาเสียสติ เพราะว่าเขาใกล้จะได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัท ซึ่งหมายความว่าเขากำลังจะได้รับผลประโยชน์มูลค่าหลายล้านเหรียญ
Smith ทยอยซื้อกิจการเข้าพอร์ต โดยเริ่มจากการใช้เงินทุนของตัวเอง ก่อนจะเริ่มกู้เงินลงทุนในปี 2004 และเมื่อสถานการณ์เข้าที่เข้าทางแล้ว กองทุนเพื่อการซื้อกิจการแรกของ Smith ให้ผลตอบแทนเป็นกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย 29.2% ต่อปี Smith ระดมเงินจากนักลงทุนสถาบันมาจัดตั้งกองทุนที่ 2 ซึ่งให้ผลกำไรสุทธิ 27.7% ต่อปี
ในที่สุด เขาจึงกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีใน Wall Street ที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองคนแรกที่ไม่ใช่ชายผิวขาว
สิ่งนี้เป็นเหมือนกับคู่มือผู้ใช้ว่าด้วยเรื่องการบริหารบริษัทในธุรกิจซอฟต์แวร์ คู่มือนี้ไม่ได้กล่าวถึงเพียงเรื่องประสิทธิภาพในการดำเนินงานเท่านั้น หากแต่ยังได้รวบรวมมาตรการลดต้นทุนและแนวคิดในการหารายได้จากค่าธรรมเนียมต่างๆ เอาไว้ รวมถึงรายละเอียดอันลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อย่างเช่นการบริหารสัญญา และขั้นตอนที่มีความจำเป็นเพื่อรับประกันว่าบริษัทจะได้รับเงินตอบแทนจากรหัสคำสั่งหรือบริการทุกอย่างที่ลูกค้าใช้งาน
Smith ได้จัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาภายในองค์กรที่มีชื่อว่า Vista Consulting Group พนักงานผู้มีความเชี่ยวชาญซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 100 คนนี้จะช่วยบริษัทในพอร์ตของ Vista ในการนำวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดมาใช้งานจริง และคู่มือนี้ได้รับการจัดเก็บในห้องสมุดออนไลน์ที่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่านซึ่งจะสามารถเข้าใช้งานได้เฉพาะผู้จัดการของบริษัทในพอร์ตที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ดังนั้น Vista Best Practices จึงเป็นเหมือนคัมภีร์สำคัญในการบริหารพอร์ตบริษัทซอฟต์แวร์ของ Vista
นอกจากนี้ในคู่มือยังระบุว่า เมื่อ Vista ตกลงจะซื้อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง พนักงานเดิมและพนักงานใหม่ทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบบุคลิกภาพและความถนัด เพื่อประเมินทักษะทางเทคนิคและทางสังคม รวมถึงพยายามที่จะวัดระดับความสามารถในการวิเคราะห์และการเป็นผู้นำ
สำหรับ Smith การทดสอบเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงอคติที่ติดตัวมา อย่างเช่นถิ่นพำนักอาศัยหรือสถานศึกษา รวมถึงเรื่องเชื้อชาติและเพศด้วย
เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา, ริศา
คลิกอ่านฉบับเต็ม "ทำอย่างไรถึงเอาชนะทั้ง WALL STREET และ SILICON VALLEY ไปพร้อมกันได้" ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ เมษายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine