สู้กับมะเร็งด้วย Big Data - Forbes Thailand

สู้กับมะเร็งด้วย Big Data

FORBES THAILAND / ADMIN
11 Apr 2019 | 11:38 AM
READ 5920

ด้วยอายุไม่ถึง 30 ปี Nat Turner และ Zach Weinberg ได้สร้างบริษัทมูลค่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นมา กับการสู้กับมะเร็งด้วย Big Data เพื่อไล่ตามความฝันอันเป็นไปได้ยาก

เมื่อปี 2008 ขณะอายุได้ 23 ปี Nat Turner ไปปีนเขาในรัฐ North Carolina กับ Brennan Simkins ลูกพี่ลูกน้องวัย 6 ขวบ แต่ขาของ Brennan ก็อ่อนแรงลง และอาการอ่อนแรงนั้นแย่ลงเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเขาเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กที่พบได้ยากและรุนแรงถึงชีวิต ซึ่งกลับมามีอาการอีกครั้งหลังได้รับการรักษาแล้ว เมื่อ Brennan ต้องเข้ารับการปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นครั้งที่ 2 โรงพยาบาลหลายแห่งปฏิเสธ และครอบครัวของเขากำลังหมดหวัง จนกระทั่งพวกเขาพบผู้เชี่ยวชาญที่อยากจะช่วยเหลือ พ่อของ Brennan ถาม Turner อย่างเดือดดาลว่า ทำไมโรงพยาบาลที่เดียวถึงไม่รู้ว่าที่อื่นๆ จะทำอะไรได้บ้าง ไม่มีใครเก็บสถิติไว้หรือ “เอาล่ะ” Turner จำได้ว่าเขาคิดว่า “ประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ป่วยถูกล็อกอยู่ในข้อมูลทางคลินิก เราควรเป็นผู้ปลดล็อกมันออกมา” สำหรับนักศึกษาเพิ่งจบใหม่คนอื่น นั่นอาจเป็นเพียง “ความคิดลึกซึ้ง” ชั่วแล่น แต่ Turner พร้อมด้วยเพื่อนมหาวิทยาลัยและหุ้นส่วนธุรกิจของเขา Zach Weinberg กำลังมองหาทางสร้างบริษัทแห่งที่ 3 บริษัทแรก ของเขาคือธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ ซึ่งเขาและ Weinberg เริ่มสร้างขึ้นตอนอยู่ปี 1 ที่ Wharton และล้มเหลว แต่แห่งที่ 2 เป็นธุรกิจโฆษณาออนไลน์ชื่อ Invite Mediaขายให้ Google ไปมูลค่า 81 ล้านเหรียญ ในปี 2010 เมื่อพวกเขาอายุ 24 ปี
Nat Turner ภาพโดย Walter Smith for Forbes
Flatiron Health บริษัทใหม่ของ Turner และ Weinberg ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 ด้วยเป้าหมายในการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์และยกระดับการแพทย์ได้ บริษัทระดมทุนได้ 328 ล้านเหรียญ และส่งผลให้ Turner (ซีอีโอ) และ Weinberg (ซีโอโอ) ทะยานขึ้นมาในทำเนียบ Forbes 30 Under 30 ของกลุ่มเฮลท์แคร์ในปี 2015 และพวกเขาแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น Forbes คาดการณ์ว่ารายได้ต่อปีของ Flatiron ใกล้ไปถึง 200 ล้านเหรียญ ในเดือนเมษายน Roche ยักษ์ใหญ่เภสัชภัณฑ์สัญชาติสวิสซื้อ Flatiron ไปในราคา 1.9 พันล้านเหรียญไม่รวมหุ้น 200 ล้านเหรียญที่บริษัทถือครองอยู่ในธุรกิจวิทยาการข้อมูล ข้อตกลงนั้นทำเงินให้ Turner และ Weinberg คนละ 250 ล้านเหรียญ ตามการคาดการณ์ของ Forbes Flatiron ตั้งมั่นเอาชนะหนึ่งในข้อจำกัดอันยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับการวิจัยทางการแพทย์หากนักวิจัยต้องการรู้ว่า ยาชนิดใหม่มีประสิทธิภาพหรือไม่มี ทางแก้ปัญหาของ Flatiron คือไปถือสิทธิการใช้ข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้กันในการทำเวชปฏิบัติเกือบ 280 แบบสำหรับผู้ป่วย 2 ล้านคน บริษัทจ่ายเงินให้สถานพยาบาลคู่สัญญา 1,000 แห่งเพื่ออ่านบันทึกที่แพทย์เขียนเกี่ยวกับผู้ป่วยและเปลี่ยนบันทึกเหล่านั้นให้กลายเป็นข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยกิน ประสิทธิภาพยาเป็นอย่างไร และเกิดอะไรต่อจากนั้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นชุดข้อมูลขนาดใหญ่กว่าซึ่งใช้วัดว่าที่จริงแล้วยามีประสิทธิภาพดีแค่ไหน นับเป็นขีดความสามารถอันพัฒนาต่อได้ที่ Flatiron กำลังร่วมมือกับบรรดาผู้ผลิตยาต้านมะเร็งรายใหญ่ที่สุด “ผมเชื่อว่าผู้คนทั่วไปอยากรู้ว่าผู้ป่วยโรค มะเร็งเป็นอย่างไร” Thomas Lynch หัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนาที่ Bristol-Myers Squibb ซึ่งเป็นผู้สนับสนุน Flatiron มาเป็นเวลาหลายปีกล่าว “ข้อมูลจากการใช้จริงนั้นสำคัญมาก เพื่อเข้าใจแนวทางการรักษาผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น และจะใช้วิธีใดจัดสรรแหล่งข้อมูล”

ข้อมูลมีค่าดั่งทอง

Turner และ Weinberg เริ่มต้น Flatiron Health ในเดือนมิถุนายน 2012 สองปีหลังจากพวกเขาเข้าร่วมกับ Google และในเดือนมกราคม 2013 พวกเขาระดมทุนได้ 8 ล้านเหรียญจาก Google Ventures, First Round Capital และนักลงทุนรายย่อยอื่นๆ เช่น Anne Wojcicki จาก 23andMe บวกกับเงินสดของพวกเขาเอง นับจากจุดเริ่มต้น แนวคิดเบื้องหลัง Flatiron Health คือการจะจับคู่ซอฟต์แวร์ธุรกิจ ซึ่งจะขายให้โรงพยาบาลหลายแห่ง กับอีกธุรกิจหนึ่งที่ต้องการได้ข้อมูลจากซอฟต์แวร์นั้น สำหรับความพยายามอีกอย่าง คือการสร้างแหล่งข้อมูลเพื่อเสริมพลังการวิจัยทางการแพทย์สิ่งนี้คล้ายคลึงกับโมเดลธุรกิจของ 23andMe ผู้บริโภคจ่ายเงินสำหรับข้อมูลการตรวจทางพันธุกรรม แต่หลังจากนั้นข้อมูลดังกล่าวจะนำไปใช้ในการวิจัย ซึ่งรวมถึงการแบ่งปันข้อมูลกับบริษัทเภสัชภัณฑ์ Turner และ Weinberg บอกว่าพวกเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าบริษัทยาจะกลายเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญ สิ่งที่ยากคือการเอาผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของพวกเขาซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือหน้าแสดงข้อมูลภาพรวม เข้าไปในศูนย์การแพทย์ “ช่างน่าตกตะลึงว่า การแพทย์ล้าหลังภาคธนาคารและการทำธุรกรรมทางการเงินและการผลิตไปไกลขนาดไหน” Lynch กล่าว Flatiron ทำได้ดีในการชวนโรงพยาบาลด้านมะเร็งและสำนักงานของหมอจำนวนมากที่ไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยมาเข้าร่วมด้วยซึ่งรวมกันได้ประมาณ 20 แห่งภายในปี 2014 แต่เมื่อ Weinberg และ Turner ได้พบกับบริษัทยา พวกเขายังพบว่าข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ นั่นนำไปสู่การเดิมพันที่กล้าเสี่ยงยิ่งขึ้นคือการซื้อบริษัทเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ธุรกิจเวชระเบียนส่วนใหญ่อยู่ภายใต้เอกชนยักษ์ใหญ่ไปแล้วอย่าง Epic Systems ในเมือง Verona รัฐ Wisconsin และ Cerner ในเมือง North Kansas City รัฐ Missouri ทั้งนี้เขายังมีความพยายามซื้อ Altos Solutions ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Los Altos รัฐ California เป็นแห่งเดียวที่ทำ ธุรกิจเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์

เข้าซื้อ Altos Solutions

โดยโน้มน้าวให้ Altos Solutions ขายกิจการบอกว่าจะทำให้ธุรกิจเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาดียิ่งขึ้นไปอีก และเกลี้ยกล่อมให้ Google Ventures นำการระดมทุน 130 ล้านเหรียญ ซึ่ง 100 ล้านเหรียญนำไปใช้ซื้อ Altos ข้อตกลงเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคม 2014 ภายใน 1 ปี Flatiron ก้าวจากพนักงาน 17 คน ซึ่งทั้งหมดอยู่ใน New York ไปเป็น 135 คนในหลายสิบรัฐ แต่ก็ยังหมายความว่าบริษัทได้เพิ่มเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์จากผู้ป่วยหลายพันคนเข้าไปในฐานข้อมูลด้วย Flatiron Health ก้าวหน้าอย่างมากในการหาทางนำข้อมูลไปใช้ Turner จำได้ว่าหนึ่งในช่วงที่ดีที่สุดของเขาที่ Flatiron คือเมื่อทีมนักวิจัยของ Abernethy เอาข้อมูลของ Flatiron ไปใช้ และจำลองผลลัพธ์ที่เหมือนกับการทดลองเชิงคลินิกจริงๆ Flatiron ระบุว่าสามารถจำลองสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาสาสมัครในกลุ่มควบคุมในผลการศึกษาที่มีอยู่แล้ว กับกลุ่มประชากรผู้ป่วยของบริษัท ได้มากกว่าหลายสิบครั้ง Flatiron ยังทำงานร่วมกับองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) โดยตรง ในการศึกษาหนึ่ง นักวิจัยของ FDA และ Flatiron พบว่าผู้ป่วยมะเร็งปอด ซึ่งได้รับการรักษาด้วยยาโรคมะเร็ง Opdivo และ Keytruda มีอายุมากกว่า และมีแนวโน้มสูบบุหรี่มากกว่าผู้ป่วยที่ใช้ยาที่ได้รับการทดสอบจากการวิจัยเชิงคลินิก ในอีกการศึกษาหนึ่งของ Flatiron ที่ไม่ได้ทำร่วมกับ FDA ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า การจัดลำดับดีเอ็นเอของผู้ป่วยมะเร็งได้ช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยได้ (ตามที่ Roche บริษัทแม่เชื่อว่าโดยทั่วไปแล้วควรเกิดขึ้น) แต่ไม่ใช่ทุกคนจะพึงพอใจกับทิศทางของ บริษัท Ezekiel Emanuel นักชีวจริยธรรมจาก University of Pennsylvania ซึ่งช่วยร่างกฎหมายประกันสุขภาพของสหรัฐฯ คือหนึ่งในแพทย์ที่แนะนำ Flatiron ให้ Tom Lynch ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทที่ Yale ขณะที่เขายังคงชื่นชมสิ่งที่ Turner และ Weinberg พยายามทำ Emanuel กลับไม่คิดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างระบบที่ใช้ข้อมูลยกระดับการดูแลผู้ป่วย ความกังวลนั้นคือแทนที่จะช่วยให้โรงพยาบาลทำงานได้ดีขึ้น Flatiron ได้กลายเป็นเพียงบริการรวบรวมข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมเภสัชกรรม “พวกเขาไม่ได้ทลายเปลือกออกมา” Emanuel กล่าว
ติดตามอ่านฉบับเต็ม "ชายหนุ่มและการสู้กับมะเร็งด้วย ฺฺBig Data" ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2562 และติดตามได้ในรูปแบบ e-Magazine