โมเดลธุรกิจใหม่ของมหาวิทยาลัยในอเมริกา - Forbes Thailand

โมเดลธุรกิจใหม่ของมหาวิทยาลัยในอเมริกา

FORBES THAILAND / ADMIN
29 Jan 2023 | 02:04 PM
READ 964

ภาวะทางการเงินของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ที่แย่อยู่แล้วย่ำแย่เข้าไปอีก แต่กระนั้นก็มีมหาวิทยาลัยไม่แสวงหากำไรชื่อไม่ดังแห่งหนึ่งจาก California กลับทำรายได้กระฉูด และขยายไปทั่วประเทศได้ด้วยกลยุทธ์จากตำราหากำไร ซึ่งสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ ควรดูไว้เป็นแบบอย่าง


    Michael Cunningham ผู้บริหารสูงสุดและอธิการบดีของ National University จาก San Diego คุยฟุ้งว่า “เราจะพา National ไปสู่ระดับชาติ” สโลแกนนี้ฟังดูน้ำเน่าก็จริงแต่เป็นคำขวัญที่ Cunningham ผู้รวยขึ้นมาจากธุรกิจพิมพ์รายงานการเงินใน New Jersey ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตในวัยกลางคนเข้ามาสู่วงการอุดมศึกษานำมาย้ำ 

    เครือมหาวิทยาลัยของ Cunningham เติบโตขึ้นจากการมีนักศึกษาไม่ถึง 33,000 คนเมื่อ 5 ปีก่อนมาเป็น 45,000 คนในวันนี้ เมื่อเดือนมีนาคม Amazon จ้างให้ National เปิดหลักสูตรออนไลน์ให้พนักงานของบริษัท 750,000 คน โดยมีให้เลือกเรียนกว่า 40 วิชา (ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับงาน) เช่น จิตวิทยาการกีฬา และการจัดการงานก่อสร้าง

    คุณคงไม่เคยได้ยินชื่อ National University ใช่ไหม? Forbes เริ่มสืบภาวะการเงินของมหาวิทยาลัยเอกชนไม่แสวงหากำไรในประเทศนี้เป็นครั้งแรกในปี 2013 มหาวิทยาลัยซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จักและมีนักศึกษาเรียนออนไลน์เป็นส่วนใหญ่แห่งนี้กลับคว้าเกรด A+ ไปได้ 

    โดย National ตามหลัง Harvard, Princeton, Stanford และ MIT เข้ามาในกลุ่มมหาวิทยาลัยแค่ 31 แห่งจาก 905 แห่งที่ได้คะแนนการเงินระดับสูงสุดจากการตัวชี้วัด 9 ตัว ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ที่ได้รับบริจาคต่อหัวนักศึกษาและอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักเพื่อบ่งชี้ว่ามหาวิทยาลัยมีงบดุลที่แข็งแกร่ง

เมื่อ National มีเงินมากพอ ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ 
จึงชอบดึงเซเลประดับท็อปมาร่วมงานบรรยายให้นักศึกษาฟัง


    มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1971 โดยนาวาเอกเกษียณอายุเพื่อให้บริการคนของกองทัพ แล้วกลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการศึกษาในเวลาต่อมาด้วยฝีมือของ Cunningham ผู้มีแนวทางการบริหารแบบใช้ธุรกิจนำหน้า ขณะเดียวกันเขายังบริหารหน่วยธุรกิจที่เป็นศูนย์กลางชื่อ System Management Group (SMG) อยู่หลังฉากด้วย 

    โดย SMG มีคณะกรรมการชุดเดียวกับ National University และรับหน้าที่จัดการงานนอกห้องเรียนทุกอย่างเท่าที่เห็นทั้งด้านเทค ทรัพยากรบุคคล การจัดการสถานที่ และการตลาด ปัจจุบัน SMG บริหารมหาวิทยาลัย 3 แห่ง ได้แก่ National University, City University of Seattle และ Northcentral University และกำลังหาซื้อกิจการเพิ่มอีก 

    ในปี 2021 SMG ซึ่งก่อตั้งตามกฎหมายในฐานะองค์กรไม่แสวงหากำไรคิดค่าบริการจากมหาวิทยาลัยในเครือรวม 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

    เมื่อ 4 ปีก่อน SMG เข้าซื้อกิจการ Northcentral University มหาวิทยาลัยแสวงหากำไรที่สอนออนไลน์เท่านั้นซึ่งก่อตั้งในเมือง Prescott รัฐ Arizona มหาวิทยาลัยนี้มีนักศึกษา 10,000 คน มีรายได้ 120 ล้านเหรียญ และอัตรากำไรสุทธิ 10% ข้อตกลงซื้อกิจการมูลค่า 175 ล้านเหรียญในครั้งนั้นใช้เงินทุนจากการออกหุ้นกู้เทศบาลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันซึ่งมีความน่าเชื่อถือระดับ A มูลค่า 180 ล้านเหรียญ 

    ก่อนหน้านั้น Northcentral ประสบปัญหาคล้ายกับสถานศึกษาแสวงหากำไรแห่งอื่นๆ นั่นคือ เสียชื่อเพราะคดีความที่กล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยใช้กลยุทธ์สับขาหลอกผู้บริโภคอย่างหนักเพื่อหลอกขายหลักสูตรปริญญาเอกที่ทำให้นักศึกษามีหนี้ท่วมหัว หลังจากคดีสิ้นสุดลง Cunningham ซื้อ Northcentral แล้วเปลี่ยนให้มาเป็นมหาวิทยาลัยไม่แสวงหากำไรในเครือ National University

    Michael Cunningham ปัจจุบันอายุ 62 ปี เริ่มต้นมาจากการเป็นพนักงานขาย งานของเขาในช่วงต้นทศวรรษ 1980 คือ การเร่ขายบริการรับพิมพ์งานให้พวกบริษัทแห่ง Wall Street ในย่าน Manhattan ตอนล่าง หลังจากเรียนจบที่ University of Massachusetts วิทยาเขตเมือง Amherst ด้วยทุนนักกีฬามวยปล้ำ เขาประสบความสำเร็จกับธุรกิจโรงพิมพ์ และเมื่อถึงปี 1989 เขาก็มีโรงพิมพ์ขนาด 10,000 ตารางฟุต ในเมือง Jersey City รัฐ New Jersey ซึ่งเชี่ยวชาญการพิมพ์รายงานนักวิเคราะห์

    “ผมไปจับมือกับโรงพิมพ์ที่ London, ฮ่องกง และ Tokyo จากที่เคยพิมพ์งานเสร็จแล้วค่อยส่งของ เราเริ่มเปลี่ยนมากระจายงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้วส่งไปพิมพ์ในประเทศท้องถิ่นนั้นๆ แทน” 

    ระยะเวลาส่งมอบงานจึงลดจาก 4 วันเหลือวันเดียว และลูกค้าก็ได้ประโยชน์จากค่าพิมพ์ที่ถูกลง 25% ธุรกิจโรงพิมพ์ของเขาจึงเฟื่องฟูถึงขั้นสุดและหลังจากนั้นในปี 1998 Automatic Data Processing ได้ซื้อบริษัทโรงพิมพ์ของเขาด้วยเงินสด 136 ล้านเหรียญ ทำให้ Cunningham ได้ลาภลอยมา 50 ล้านเหรียญ “ผมเกษียณตอน 40” เขากล่าว

Michael Cunningham ผู้บริหารสูงสุดและอธิการบดีของ National University

    เขาเริ่มไปเป็นอาจารย์พาร์ตไทม์ที่วิทยาลัยธุรกิจ Stern ของ NYU แล้วต่อมาในปี 2000 จึงย้ายไปอยู่ California ตอนใต้ และเริ่มสอนที่วิทยาลัยธุรกิจ Fowler ของมหาวิทยาลัย San Diego State พร้อมทั้งเรียนปริญญาเอกด้านการศึกษาที่ NYU ไปด้วย 

    หลังจากได้ปริญญาเอกในปี 2005 อดีตบริษัทการพิมพ์ของเขาซึ่งกำลังลำบากชวนเขากลับไปบริหาร เขาพลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วแล้วขายกิจการให้บริษัทไพรเวทอิควิตี้แห่งหนึ่งไปในปี 2008 และในปี 2011 เขาก็กลับมาทำงานการศึกษาเต็มตัวเมื่อ San Diego State จ้างเขาไปเป็นคณบดีของวิทยาลัยธุรกิจ

    หลังการรับบทบาทใหม่ได้เพียง 2 ปี National ก็มาเคาะประตู Cunningham เล่าว่า “ตอนนั้นผมไม่ได้อยากหางาน ผมอยู่กับ San Diego State มีความสุขดีมากแต่ผมก็ทึ่งมากกับ National ด้วยแนวคิดเรื่องการศึกษาแบบเปิดกว้างให้เข้าถึงได้เพื่อเปลี่ยนชีวิตผู้คน...จึงจำเป็นต้องได้นักธุรกิจมาช่วยบริหาร National ไม่ใช่มหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิม และต้องเป็นธุรกิจมากพอๆ กับที่เป็นสถาบันอุดมศึกษา”

    แม้จะไม่ใช่มหาวิทยาลัยกลุ่ม Ivy แต่ National ก็เก๋าเกมในเรื่องการทำตลาดเน้นลูกค้ามาเป็นอันดับ 1 ในทศวรรษ 1990 เป็นที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ชอบตั้งศูนย์รับนักศึกษาอยู่ตามห้างสรรพสินค้าในรัฐ California และมีศูนย์อยู่ตามฐานทัพด้วย แต่ทุกวันนี้รับสมัครออนไลน์เป็นส่วนใหญ่

    เว็บไซต์ของ National ใช้งานผ่านมือถือได้สะดวกและปรับแต่งให้เสิร์ชเอนจินค้นพบได้ง่ายมีแชทบอทที่คุยโต้ตอบได้ด้วย AI และมีเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าพร้อมรับสายตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน และแทนที่บนหน้าโฮมเพจจะโชว์ทัศนียภาพอันงดงามของมหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่คุณจะได้เห็นคือ เบอร์โทรฟรีและแบบฟอร์มสำหรับกระตุ้นความสนใจของลูกค้า 

    ข้อมูลการเงินล่าสุดที่ National ยื่นต่อกรมสรรพากรชี้ว่า มหาวิทยาลัยใช้เงินไม่น้อยกว่า 25 ล้านเหรียญไปกับการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตในปี 2019 ซึ่ง Google และ Facebook ได้ค่าโฆษณาไปก้อนใหญ่ที่สุด

    “เราทำทุกอย่างโดยเน้นการเข้าถึงง่าย” Cunningham กล่าว แทนที่จะจัดตารางสอนตามภาคการศึกษาปกติซึ่งนักศึกษาอาจจะต้องลงทะเบียน 4 หรือ 5 วิชาพร้อมกัน National เลือกวางโครงสร้างปฏิทินการศึกษาให้เป็นคอร์ส 1 เดือนที่สอนทั้งแบบออนไลน์และออนดีมานด์ ซึ่งเป็นวิธีที่น่าสนใจสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงานและบุคลากรที่ประจำการในกองทัพซึ่งต้องการความยืดหยุ่นให้เริ่มเรียนในเดือนไหนก็ได้

    National ยังคิดค่าเรียนถูกกว่าที่อื่นอีกด้วย โดยคิดค่าลงทะเบียนวิชาทั่วไปวิชาละ 1,665 เหรียญ และเหมาจ่าย 66,600 เหรียญ สำหรับหลักสูตรปริญญาตรี แล้วยังมีเจ้าหน้าที่ออนไลน์พร้อมช่วยนักศึกษากรอกแบบฟอร์มขอทุนช่วยเหลือ ซึ่งก็ช่วยได้จริงเห็นได้จากตัวเลขในปี 2019 นักศึกษาของ National เรียนจบโดยมีหนี้ติดตัว 26,516 เหรียญ เทียบกับหนี้เฉลี่ย 33,600 เหรียญสำหรับมหาวิทยาลัยเอกชน 4 ปีโดยทั่วไป

    ในฤดูใบไม้ผลิปี 2020 การล็อกดาวน์หนีโควิดบีบให้เหล่ามหาวิทยาลัยต้องปิดรั้วและรีบกระหืดกระหอบเปิดคลาสออนไลน์ แต่ National พ้นช่วงเปลี่ยนผ่านไปแล้วเรียบร้อย เมื่อ 1 ทศวรรษก่อนชั้นเรียนของ National ประมาณ 60% ยังสอนในห้องเรียนจริงในสถานที่ซึ่ง Cunningham เรียกว่า เป็นวิทยาเขตจิ๋วขนาด 20,000 ตาราง แต่เมื่อไม่เกินปี 2020 National ก็เปลี่ยนมาสอนออนไลน์เกือบ 70% และปัจจุบันสอนผ่านระบบดิจิทัล 88% 

บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ

    ในช่วงโรคระบาด Cunningham ขายอสังหาริมทรัพย์ในรัฐ California ไป 4 แห่ง รวมถึงวิทยาเขตขนาด 125,000 ตารางฟุต ในย่าน La Jolla ด้วยราคากว่า 100 ล้านเหรียญ ถ้าไม่นับศูนย์ในฐานทัพ ทุกวันนี้ National มีอาคารสถานที่อยู่แค่ 10 แห่งจากที่เคยมี 28 แห่งเมื่อปี 2018

    ทุกวันนี้ National มีพนักงานสายวิชาการ 2,587 คน แต่มีพนักงานประจำแค่ 240 คน และทุกคนต้องต่อสัญญาทุก 5 ปี ส่วนที่เหลือเป็นอาจารย์พิเศษพาร์ตไทม์ซึ่งได้ค่าจ้างเฉลี่ย 2,400 เหรียญต่อคอร์ส ซึ่งทางมหาวิทยาลัยไม่ได้เสนอตำแหน่งงานประจำให้ใครอีก

    ผู้เล่นที่เน้นตลาดเฉพาะกลุ่มอย่าง Cunningham อาจไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่สถาบันอุดมศึกษาบนหอคอยงาช้างสักเท่าไร แต่เขาก็กระตุกให้มหาวิทยาลัยที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินต้องหันมาสนใจฟังได้

    “ผมคิดว่าในที่สุดเราจะได้เอาโมเดลค่าบริการรายเดือนมาใช้ ซึ่งมันจะสบายกระเป๋ามากขึ้นอีกเยอะ คล้ายๆ การจ่ายค่ายิมเดือนละ 50 เหรียญ แล้วคุณจะใช้บริการหรือไม่ก็ได้ หลานชายผมอาจจะอายุยืนถึง 100 ปี และตลอดชีวิต มีงานพิเศษ 20 งาน หรือมีอาชีพหลัก 10 อย่าง ซึ่งเขาจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ สมรรถนะความสามารถใหม่ และฝึกฝนสิ่งใหม่อยู่เรื่อย นี่คือเรื่องที่มหาวิทยาลัยจะช่วยสร้างความแตกต่างได้จริง” Cunningham กล่าว

    เมื่อไม่จำเป็นต้องสร้างหอพัก ห้องเลคเชอร์ หรือโรงอาหารอย่างดี ปัจจุบัน National University จึงมีเงินสดสำหรับขยายกิจการอยู่ในสมุดบัญชีภายใต้รายการ “เงินทุนสำรองที่ไม่จำกัดการใช้งาน” ถึง 1.2 พันล้านเหรียญ

    “Clay Christensen เคยพูดถึงแนวคิดเรื่องการศึกษาระดับสูงกว่ามัธยม เขาบอกว่า [จำนวน] มหาวิทยาลัยที่สอนปริญญาตรีจะลดลง 50% ภายในปี 2050” Cunningham กล่าวอ้างอิงนักเศรษฐศาสตร์ผู้ล่วงลับไปแล้วซึ่งเสนอทฤษฎีนวัตกรรมที่พลิกโฉม “คุณจะเห็นคนที่ติดหล่มอยู่กลางทางหรือไม่ยอมปรับตัวจากเดิมล้มหายไป ซึ่งจะมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ และเราอยากเป็นผู้ชนะ”


เรื่อง: EMMA WHITFORD และ MATT SCHIFRIN
เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง ภาพ: MATT FURMAN


คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine