เบื้องหลังการจับมือระหว่าง Bill Gates และ Melinda อดีตภรรยา ผ่าน Gates Foundation - Forbes Thailand

เบื้องหลังการจับมือระหว่าง Bill Gates และ Melinda อดีตภรรยา ผ่าน Gates Foundation

FORBES THAILAND / ADMIN
04 Feb 2023 | 12:22 PM
READ 3286

บทสัมภาษณ์เจาะลึกเผยเบื้องหลังของ Bill Gates กับการจับมือ Melinda อดีตภรรยา ทุ่มเงินบริจาคก้อนโต 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งให้ยอดบริจาคของมูลนิธิของพวกเขาทะยานขึ้น 50% เป็น 9 พันล้านเหรียญต่อปี


    การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในมุมของ Bill Gates ยังคงมองว่า “มันเลวร้ายกว่าที่ใครๆ จะตระหนักถึง” เหมือนๆ กับสงครามยูเครน นี่ไม่นับถึงเรื่องของภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ “ภาวะทางการเมืองซึ่งส่งผลให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะคิดทำอะไรในระดับโลกและทำในเรื่องที่ซับซ้อน ทำให้รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะเป็นช่วงเวลาขาลง”

    Gates กล่าวคำพูดเหล่านี้เอาไว้ 1 วันก่อนจะประกาศข่าวการบริจาคเงินครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการทำการกุศล 2 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเขาจะมอบให้แก่มูลนิธิในชื่อเดียวกับตัวเองที่อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังคงบริหารงานอยู่ร่วมกับอดีตภรรยา Melinda French Gates

    เงินบริจาคก้อนนี้ส่งให้ยอดรวมที่สองสามีภรรยาบริจาคเงินเพื่อการกุศลเพิ่มเป็น 5.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคนใจบุญที่สุดเป็นประวัติการณ์ แซงหน้าเพื่อนอย่าง Warren Buffett ที่บริจาคเงินไปแล้ว 4.8 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งโดยส่วนมากก็มอบให้แก่ Gates Foundation นั่นเอง

    เงินบริจาคก้อนนี้ทำประโยชน์ได้อย่างมหาศาลกับโลกความเป็นจริง เพราะจะเปิดทางให้ Gates Foundation มูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่มงบประมาณได้อีกถึง 50% เป็นปีละ 9 พันล้านเหรียญภายในปี 2026 ซึ่งมากกว่างบประมาณด้านการช่วยเหลือที่ใช้จ่ายกันในแทบจะทุกประเทศทั่วโลก

    โดยมีเพียงประมาณ 5 ประเทศเท่านั้นที่ทุ่มงบช่วยเหลือเกินจำนวนนี้ โดยอ้างอิงจากการคำนวณของ Gates “นี่จะเป็นการเร่งเครื่องผลักดัน หรืออัดฉีดโครงการต่างๆ ของเราอย่างเต็มกำลัง” ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Microsoft กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์



    มากกว่างบที่เพิ่มขึ้นปีละ 3 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะทุ่มไปกับการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ การกำจัดโรคภัยต่างๆ การลดอัตราการเสียชีวิตในทารก และประเด็นอื่นๆ ที่ Gates Foundation มุ่งส่งเสริม นี่ยังถือเป็นการเน้นย้ำจุดยืนด้วยตัวเลข 11 หลักถึงความจำเป็นที่บรรดามหาเศรษฐีทั้งหลายจะต้องเดินหน้าทำการกุศลในเชิงรุกมากกว่าที่เคย

    แทนที่จะปล่อยให้เงินบริจาคกองทับถมกันเป็นพะเนินเทินทึกเพียงเพื่อคอยให้ผู้บริหารมูลนิธิรุ่นแล้วรุ่นเล่าเข้ามากระจายการช่วยเหลือทีละเล็กละน้อยในนามของพวกเขาสืบเนื่องไปเป็นร้อยๆ ปี

    “เหมือนพวกเขาพยายามจะยืดเวลาให้มูลนิธิอยู่ต่อไปได้นานที่สุด” Gates กล่าว “แทนที่จะคิดว่ามีเรื่องใหญ่ๆ ที่ทำได้ทันทีเลยหรือไม่”

    การทุ่มเงินบริจาคครั้งนี้ตอกย้ำแนวคิด “ให้เมื่อยังหายใจ” ซึ่ง Chuck Feeney มหาเศรษฐีวัย 91 ปี ผู้ก่อตั้ง Duty Free แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ด้วยการบริจาคทรัพย์สินมากกว่า 8 พันล้านเหรียญจนพาตัวเองหลุดออกจากทำเนียบเศรษฐีพันล้าน 400 อันดับของ Forbes ไปเป็นคนที่แทบจะเรียกได้ว่าสิ้นเนื้อประดาตัวแทนที่จะรอให้ถึงจุดจบของชีวิต

    ตอนนี้ Gates ตั้งปณิธานแล้วว่า เขาจะบริจาคเงินจนตัวเองหลุดออกจากอันดับรายชื่อเศรษฐีพันล้านของ Forbes ให้ได้ขณะที่ยังมีลมหายใจ (การบริจาคเงินก้อนล่าสุดของเขาทำให้อันดับของ Gates ร่วงลง 1 ลำดับไปเป็นเศรษฐีพันล้านที่ร่ำรวยอันดับ 5 ของโลก ด้วยทรัพย์สินสุทธิประมาณ 1.02 แสนล้านเหรียญนอกมูลนิธิ)

“ผมจะพาตัวเองออกจากอันดับที่โดดเด่นในรายชื่อเศรษฐีพันล้านนี้ได้ด้วยการบริจาคเงินก้อนโตๆ แบบนี้อีกสัก 2 ครั้ง แล้วผมก็จะพ้นจากตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก” Gates กล่าว “ถ้าจะหลุดออกจากรายชื่อนี้ไปเลยคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ผมก็มีทิศทางที่เลือกเดินไว้ชัดเจนแล้ว”

    เงินก้อน 2 หมื่นล้านเหรียญที่บริจาคนี้อาจจะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่าง Gates และอดีตภรรยาได้เป็นอย่างดี เพราะเงินจำนวนนี้ห่างไกลจากมูลค่าเม็ดเงินที่พัวพันกับการหย่าร้างของ Jeff Bezos กับ MacKenzie Scott อยู่หลายขุม โดยการแยกทางกันของทั้งคู่นั้นส่งให้ Scott ขึ้นแท่นผู้ใจบุญที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทศวรรษนี้ไปแล้ว

    สาเหตุเป็นเพราะสองสามีภรรยา Gates ต่างร่วมกันบริหารงานมูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งอยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนหลายองค์กร ทั้งกองทุนโลก Global Fund และ Gavi กลุ่มพันธมิตรวัคซีน รวมถึงภารกิจเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโปลิโอ มาลาเรีย และโรคภัยอื่นๆ

    ดังนั้น สถานะความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอยู่ในช่วงระยะ 2 ปีที่จะต้องตัดสินใจเรื่องการร่วมมือกันในอนาคต ซึ่งหากทั้งคู่เลือกที่จะยุติความร่วมมืออย่างที่เป็นอยู่ Bill Gates จะเป็นฝ่ายให้เงินทุนสนับสนุนกิจกรรมการกุศลของอดีตภรรยาที่จะแยกออกไปทำต่างหาก



    แต่จากคำบอกเล่าของ Bill Gates ทุกอย่างดูจะไปได้ดีตลอดช่วงที่ผ่านมา “ผมมองว่าทุกอย่างแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเราจะทำมูลนิธิด้วยกันต่อไปได้จนตลอดรอดฝั่ง” พร้อมทั้งยังกล่าวว่า ได้ปรึกษากับอดีตภรรยาและ Mark Suzman ซีอีโอของกองทุน เกี่ยวกับการบริจาคเงิน 2 หมื่นล้านเหรียญหลายเดือนก่อน รวมทั้งยังบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้ Buffett และคณะกรรมการบริหารมูลนิธิได้รับทราบด้วย ซึ่งแรงกระเพื่อมจากสภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นไม่ได้สั่นคลอนความตั้งใจของเขาแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งก็เพราะแรงสนับสนุนจาก Melinda French Gates นี่เอง

    “ข่าวดีก็คือ ทั้งๆ ที่เราอยู่ระหว่างการหย่าร้างซึ่งถือเป็นช่วงเวลายากลำบากแล้วก็โชคดีที่ผ่านมาได้เป็นปีแล้วแต่เราก็ยังบริหารงานของมูลนิธิได้อย่างมีพัฒนาการ ผมประหลาดใจอยู่เสมอว่าเราสองคนมีความเห็นอะไรต่างๆ ตรงกันมากมายแค่ไหนในเรื่องเกี่ยวกับมูลนิธิ และมักจะมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอรู้ลึกมากกว่าผม แล้วเราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันไป”

    “เธอได้ออกความเห็นของตัวเองก็จริง แต่เท่าที่ผมสังเกตดู ทุกอย่างบ่งบอกว่าเราเป็นหุ้นส่วนที่บริหารมูลนิธิร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยมและก็เป็นแบบนั้นมาตลอด” Gates ยังเล่าถึงการเดินทางไปแอฟริกาของอดีตภรรยาเมื่อไม่นานมานี้ “ตอนนั้นเธอไปรวันดา ในงานที่ประมุขของกลุ่มประเทศเครือจักรภพมารวมตัวกัน เธอไปเซเนกัลต่อ แล้วก็ส่งข้อความมาทุกวันว่าฉันเห็นอะไรบ้าง ฉันคิดอะไรออกบ้าง”

    ถ้าทุกอย่างราบรื่นขนาดนี้ท่ามกลางสารพัดปัญหาที่รอคอยความช่วยเหลือจึงเกิดคำถามว่า แล้วทำไม Gates Foundation ถึงจะต้องจำกัดงบอยู่แค่ปีละ 9 พันล้านเหรียญ เรื่องนี้ Gates เองตระหนักดีว่า ถ้าให้งบ 1 หมื่นล้านเหรียญก็จะได้ตัวเลขกลมๆ แต่เขาจะรอจนกว่าจะถึงปี 2026 เพื่อที่จะได้เห็นภาพชัดเจนว่าทางมูลนิธิจัดการกับเงินงบประมาณที่ได้เพิ่มมาอย่างไร “ผมไม่ได้ตั้งเพดานไว้ที่ 9 พันล้านเหรียญ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นผมจะได้เห็นอะไรอีกมากในเชิงสินทรัพย์และประสิทธิภาพในการบริหารงาน”

    นอกจากนี้ Gates ยังมี Warren Buffett ซึ่งสั่งความไว้ดิบดีว่า เงินที่เขาบริจาคให้แก่มูลนิธินี้ซึ่งมียอดรวม 5.6 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งที่บริจาคไปก่อนนี้แล้วและที่กันไว้สำหรับจะบริจาค จะต้องนำไปทำประโยชน์ให้ได้ทั้งหมดภายใน 10 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต (“‘ปล่อยให้พวกคนรวยในอนาคตหาทางแก้ปัญหาในอนาคตกันเอาเองเถอะ’ Buffett เคยพูดไว้อยู่หลายครั้ง”)

    นับเป็นคลื่นกุศลลูกใหญ่ที่จะถาโถมเข้าใส่มูลนิธินี้ และเป็นความท้าทายอันมีต้นกำเนิดมาจากจิตสำนึกต่อส่วนรวมที่คนวงในซึ่งกำลังวางแผนจัดการอยู่ตั้งชื่อให้ว่า “Project Lincoln”
แต่งานนี้อาจมีเรื่องหักมุม

    เพราะรายงานของ Wall Street Journal เมื่อไม่นานมานี้เผยว่า Buffett อาจโยกย้ายเงินก้อนสุดท้ายซึ่งอาจจะหลายหมื่นล้านเหรียญไปมอบให้แก่มูลนิธิ Susan Thompson Buffett ที่อดีตภรรยาผู้ล่วงลับของเขาเป็นผู้ก่อตั้งแทน ซึ่งที่นั่นเน้นส่งเสริมสิทธิการทำแท้ง

    ฟาก Gates ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ผมไม่เคยอยากจะทำอะไรที่เป็นการมองข้ามน้ำใจของ Warren เลย” ยังเชื่อสนิทใจว่ามูลนิธิของเขาจะยังได้รับเงินบริจาค ก้อนนั้น “ไม่มีเหตุผลให้ผมเชื่อว่าอะไรจะเปลี่ยน ผมเพิ่งแจ้งข่าวการบริจาคนี้กับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนและเขาก็ตื่นเต้นมาก”

    ไม่ว่าจะอย่างไร Buffett ก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมเอาไว้แล้ว “Warren มีผลต่อความคิดของผมมากเสียจนแทบไม่อาจพูดได้ว่าแนวคิดบางอย่าง เช่น เรื่องการทำความเข้าใจการลงทุน หรือแนวทางในการทำการกุศลนั้นเป็นความคิดของผมเองล้วนๆ”

    และแม้ Gates จะไม่เอาแนวทางการทุ่มงบประมาณในระยะสั้นมาใช้กับมูลนิธิของเขาเหมือนอย่างแผนการใช้เงินบริจาคของ Buffett แต่เขาก็มองไว้แล้วว่าอาจจะหาทางลงในช่วงสัก 25 ปีเพื่อให้เวลาและโอกาสเติบโตกับโครงการระยะยาวทั้งหลาย



    แต่เรื่องที่น่าวิตกที่สุดสำหรับเขาคือ สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นพิษเป็นภัยทั้งในและต่างประเทศ ทั้งตามชาติต่างๆ ที่มีปัญหาด้านประชาธิปไตยอย่างเลบานอนและศรีลังกา รวมถึงในสหรัฐฯ เอง ซึ่งสำหรับมุมปัญหาภายในประเทศ

    เขาเล่าถึงการรับประทานมื้อกลางวันกับ Bill และ Hillary Clinton เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งลูกของเขาคนหนึ่งตั้งคำถามว่า รัฐ Arkansas เปลี่ยนจากรัฐที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตไปเป็นฐานเสียงพรรครีพับลิกันได้อย่างไร

    “พวกเขาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยม แต่พอเราถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้นรัฐนี้จะกลับไปเป็นฐานเสียงพรรคเดโมแครตได้อย่างไร พวกเขากลับตอบเชิงว่า รู้สึกดีใจที่เรามีคนรุ่นใหม่ซึ่งอาจจะมีความอดทนหรือมีมุมมองใหม่ๆ ต่อการเมืองสหรัฐฯ”

    นอกเหนือจากประเด็นเหล่านี้ ทั้งในการสัมภาษณ์ครั้งนี้และบนบล็อก Gates Notes ที่เพิ่งจะเผยแพร่บทความชิ้นใหม่ Gates พยายามจะถ่ายทอดพลังบวกออกไปในช่วงเวลาที่โลกกำลังโหยหาเป็นอย่างยิ่ง เขาดูมีหวังมากเป็นพิเศษในเรื่องนวัตกรรมทางการศึกษาดิจิทัลเฉพาะบุคคล ซึ่งทางมูลนิธิพยายามผลักดันมานานหลายปี

“ผมรู้สึกมีหวังในเรื่องนี้มากกว่าที่เคย ยิ่งกับหลักสูตรคณิตศาสตร์ใหม่ๆ เหล่านี้ เราเริ่มจะเห็นภาพชัดว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง” ไม่ว่าจะเรื่องง่ายๆ อย่างการสร้างห้องน้ำ ไปจนถึงการเงินดิจิทัลที่ครอบคลุมเพื่อลดช่องว่าง และด้านอื่นๆ “มีหลายอย่างที่ผมมองว่ามีหวัง” Gates กล่าว ซึ่งเราคงจะได้เห็นกันต่อไปว่าการเพิ่มงบครั้งนี้จะช่วยเร่งเดินเครื่องอะไรๆ ได้จริงหรือไม่

เรื่อง: RANDALL LANE เรียบเรียง: วินิจฐา จิตร์กรี ภาพ: MICHEL EULER/AP, TIMOTHY ARCHIBALD



คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine