ผจญเพลิงด้วยเทคโนโลยี กำเนิดสตาร์ทอัพรับมือไฟป่า - Forbes Thailand

ผจญเพลิงด้วยเทคโนโลยี กำเนิดสตาร์ทอัพรับมือไฟป่า

บริษัทเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) พากันอัดฉีดเงินหลายล้านเข้าสู่สตาร์ทอัพเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับอัคคีภัย (Firetech) แม้เครื่องมือของพวกเขาเหล่านี้จะถือว่าเล็กน้อยมากในการตีแผ่ปัญหาที่ยิ่งลุกไหม้หนักขึ้นทุกที

    

    สำหรับนักร่วมลงทุนอย่าง Bill Clerico ความเสี่ยงเกิดไฟป่าคือประสบการณ์ตรง เมื่อห้าปีก่อน ไฟป่าลุกลามเข้าใกล้ที่พำนักหลังที่สองของเขาในเมือง Boonviile รัฐแคลิฟอร์เนีย เผาไหม้ทุกสิ่งบนถนนเพียงสายเดียวที่ทอดตรงมายังบ้านของเขา

    ประสบการณ์อันน่าหวาดกลัวพาให้ Clerico ตัดสินใจทำงานเป็นนักผจญเพลิงอาสาประจำท้องถิ่น และเริ่มต้นไตร่ตรองว่าเทคโนโลยีสามารถเข้ามามีบทบาทอย่างไรได้บ้างในการดับเพลิง

    กระทั่งปลายปีที่แล้ว เขาได้ก่อตั้ง Convective Capital บริษัทเงินร่วมลงทุนมูลค่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมสตาร์ทอัพในพอร์ต 10 บริษัท ถือเป็นบริษัทเงินร่วมลงทุนรายแรกที่มุ่งความสนใจไปยังสตาร์ทอัพเทคโนโลยีเกี่ยวกับไฟ (Firetech) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยจุดมุ่งหมายแก้ไขวิกฤตไฟป่า

    ระยะหลังมานี้ แม้พื้นที่ที่ไร้ประวัติการเกิดไฟป่ามาก่อนกลับต้องเผชิญเปลวเพลิงเผาผลาญมอดไหม้ ไฟป่าที่เกาะเมาวีคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 99 ราย อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสียหายหรือทำลายสิ่งปลูกสร้างอีกกว่า 2,000 หลัง หน่วยงานท้องถิ่นประเมินค่าใช้จ่ายในการสร้างเมืองใหม่กว่า 5.5 พันล้านเหรียญ

    ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไป ปัญหานี้ก็เริ่มรุกล้ำเข้ากล้ำกรายรัฐแคลิฟอร์เนียด้วยเช่นกัน มีรายงานไฟป่าครั้งมโหฬารผลาญทำลายพื้นที่หลายล้านเอเคอร์ในระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา หรือหากกล่าวอีกนัยหนึ่งมันคือเหตุการณ์ไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนียที่เกิดขึ้นเจ็ดครั้งจากทั้งหมดสิบครั้งที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาห้าปีมานี้ รัฐดังกล่าวยังใช้เงินกว่า 3 พันล้านเหรียญต่อปีเพื่อรับมือกับไฟป่า ส่วนในระดับประเทศ มีการใช้จ่ายเงินหลายพันล้านเหรียญเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าเป็นประจำทุกปีทั่วสหรัฐฯ

    เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สตาร์ทอัพจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมตัวเลือกอันหลากหลาย ตั้งแต่ ZestyAI ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จากปัญญาประดิษฐ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้บริษัทประกันภัยประเมินความเสี่ยงการเกิดอัคคีภัย ไปจนถึง BurnBot ผู้สร้างสรรค์หุ่นยนต์รับผิดชอบการชิงเผาตามกำหนด (Prescribed Burn) ซึ่งเป็นการป้องกันไฟป่าวิธีหนึ่ง

เซนเซอร์และระบบเตือนภัยของ Dryad


    สตาร์ทอัพ Rain ต้องการใช้อากาศยานอัตโนมัติรับมือกับไฟป่า ส่วน Torch อยากเสนอขายอุปกรณ์ตรวจจับควันภายนอกแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ บริษัท Dryad หวังขายเซนเซอร์พลังงานต่ำขนาดเท่าฝ่ามือแก่เจ้าของที่ดินรายใหญ่ ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นระบบเตือนภัย “แต่เนิ่นๆ” ในระดับแรกเริ่มแก่หน่วยงานรัฐบาลและองค์กรสาธารณูปโภคด้านพลังงาน

    บริษัทเงินร่วมลงทุนซึ่งรวมถึง Convective Capital ได้ทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญลงในเทคโนโลยีมาแรงประเภทนี้แล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาหนึ่งในบริษัทที่ Convective Capital ร่วมลงทุน Pano AI สตาร์ทอัพซึ่งนำเสนอบริการตรวจจับระยะแรกเริ่มได้ระดมทุน 17 ล้านเหรียญในการระดมทุนระหว่างรอบซีรีส์ A

    ก่อนหน้านั้นในเดือนมิถุนายน Gridware บริษัทเทคโนโลยีเฝ้าติดตามสาธารณูปโภคด้านพลังงานเองก็ระดมทุนได้ 10.5 ล้านเหรียญในการลงทุนระหว่างรอบเริ่มต้น โดยสตาร์ทอัพรายนี้ก็เป็นหนึ่งในพอร์ตของ Convective Capital เช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญบอกว่า แม้การมาของสตาร์ทอัพ Fire-tech จะดูมีอนาคต แต่สิ่งที่พวกเขาเสนอมายังใหม่มากและส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในสถานการณ์จริง

    นอกจากนี้ วิธีการของพวกเขายังไม่อาจสร้างแรงกระเพื่อมไปยังตลาดประกันภัยในแคลิฟอร์เนียได้ โดยสามผู้เล่นรายใหญ่ ได้แก่ Farmers, State Farm และ Allstate ประกาศว่าจะไม่มีการออกประกันบ้านใหม่เพิ่ม หรือไม่ก็พับนโยบายใหม่เก็บไป

    และในเดือนสิงหาคม กระทั่ง S&P Global Ratings ก็ออกมาเตือนว่าการขึ้นค่าประกันสามารถเพิ่มภาระค่าครองชีพยิ่งขึ้นไปอีก และกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนย้ายออกจากแคลิฟอร์เนียไปยังรัฐอื่น

    “มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เชื่อมโยงไปยังส่วนใหญ่โตของปัญหา” Clerico ชี้ โดยประเมินว่าสตาร์ทอัพที่เขาลงทุนไปพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่พวกเขามีจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเติบโตเต็มที่ “ผมไม่คิดว่า Firetech อยู่บนจุดที่สามารถเปลี่ยนธุรกิจประกันได้โดยพื้นฐานในตอนนี้”

Burnbot ผู้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้กับการชิงเผาตามกำหนด


    ทว่าการทดสอบเทคโนโลยีเกี่ยวกับไฟเหล่านี้ในระยะแรกเริ่มก็กำลังดำเนินไป หน่วยงาน CAL FIRE ในแคลิฟอร์เนียอยู่ระหว่างทดสอบเครื่องมือ AI ชิ้นใหม่เป็นครั้งแรก โดยพวกเขาเพิ่งเปิดตัวสำนักงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรับมือไฟป่าไปในปีนี้ ส่วนช่วงต้นปีที่ผ่านมา CAL FIRE ได้เริ่มโครงการนำร่องกับสตาร์ทอัพ Dryad Networks ซึ่งเป็นผู้สร้างเซนเซอร์ตรวจจับควันขับเคลื่อนด้วย AI

    โครงการนำร่องนี้จะทดสอบเซนเซอร์ 400 ตัวของทางบริษัทที่ป่าสาธิต Jackson Demonstration State Forest ในเขต Mendocino County ของแคลิฟอร์เนีย

    Carsten Brinkschulte ซีอีโอแห่ง Dryads Networks เผยกับ Forbes ว่าโมเดลของเขาประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ ส่วนแรกคือเซนเซอร์จริงซึ่งออกแบบมาให้อยู่ได้นานถึง 10 ปี ส่วนที่สองคือเครือข่ายโครงสร้างระบบข้อมูลท้องถิ่นของทางบริษัท ซึ่งช่วยรักษาการเข้าถึงป่าชนบทอันหนาแน่นซึ่งมักจะเข้าถึงได้น้อย 

    “เราคือเครือข่ายหลักของป่า” เขากล่าว จากการประเมินของ Dryad ทางบริษัทสามารถครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนระหว่างป่าและเมืองในแคลิฟอร์เนียได้ทั้งหมด โดยพื้นที่เหล่านี้เป็นบริเวณรอยต่อที่เริ่มเปลี่ยนจากป่าเป็นชุมชนพัฒนาแล้วซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่ามากเป็นพิเศษ

    ระบบนี้อาจมีมูลค่าคร่าวๆ อยู่ที่ 29 ล้านเหรียญซึ่งเป็นการจ่ายเงินเพียงครั้งเดียว หรือคิดเป็นเงินราว 1% ของค่าใช้จ่ายที่ CAL FIRE ใช้ไปกับงบประมาณในแต่ละปีที่ผ่านมา โดยมีเพิ่มเติมอีกราว 4.3 ล้านเหรียญเป็นค่าดำเนินการประจำปี

    “เทียบกับที่ CAL FIRE หมดไปกับการรับมือไฟป่าในตอนนี้แล้ว มันเล็กน้อยมากๆ” Brinkschulte เสริม “เราไม่ได้กำลังบอกว่าเราแก้ปัญหาไฟป่าได้ทั้งหมด แต่เราคิดว่าเราสามารถมีบทบาทสำคัญยิ่งในการบรรเทาปัญหาเหล่านี้ลง” เขามีความหวังว่าสุดท้ายแล้วบริษัทของเขาจะสามารถสร้างผลกระทบต่อตลาดประกันภัยได้ แต่เขารู้ดีว่ามันยังต้องใช้เวลา

    “ประกันภัยเป็นธุรกิจที่หัวโบราณอย่างไม่น่าเชื่อ” เขากล่าว “หากคุณคุยกับบริษัทประกัน พวกเขาจะบอกว่าเทคโนโลยีของคุณช่างยอดเยี่ยม คุณช่วยแสดงข้อมูลย้อนหลังห้าปีให้ดูหน่อยได้ไหม? แหม บริษัทเราเพิ่งก่อตั้งมาได้สามปี เป้าหมายของเราคือลดระยะเวลาตอบสนองให้ได้มากที่สุด หากคุณสามารถลดเวลาตอบสนองจากชั่วโมงเป็นนาทีได้ คุณก็สามารถเพิ่มโอกาสในการดับไฟได้มากเลยละ”

    แม้บรรดาบริษัทประกันภัยต่างยังรีรอที่จะรับ Firetech มาใช้ องค์กรสาธารณูปโภคต่างๆ กลับเข้าร่วมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่นี้กันแล้ว ที่น่าจับตามองคือ Pacific Gas & Electric

    ผู้ให้บริการไฟฟ้ารายหลักของแคลิฟอร์เนียเหนือ PG&E สูญเสียมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไป 1.3 หมื่นล้านเหรียญในปี 2018 หลังแจ้งกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่า พวกเขาอาจเป็นต้นตอของไฟป่าใน Butte County เมื่อปี 2018 ซึ่งเป็นไฟป่าครั้งร้ายแรงที่สุดของรัฐ ปีต่อมา PG&E ยอมรับผิดฐานเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตโดยประมาทถึง 84 ราย และยินดีจ่ายค่าปรับ 4 ล้านเหรียญ

    ตอนนี้ PG&E คือหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของ XPrize Wildfire ซึ่งเป็นความร่วมมือในการแข่งขันค้นหาวิธีรับมือกับไฟฟ้าโดยมีเงินรางวัลมูลค่า 11 ล้านเหรียญโดยเพิ่งประกาศเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา

    เงินรางวัลจำนวนหนึ่งจะมอบให้กับทีมที่สามารถตรวจจับและดับไฟอัตโนมัติในพื้นที่ 1,000 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่กว่าซานฟรานซิสโกเกือบ 8 เท่า) ส่วนเงินรางวัลจำนวนมากกว่าจะมอบแก่ผู้ที่สามารถตรวจจับไฟไหม้ทั้งหมดในบริเวณที่ใหญ่กว่า ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ PG&E ยังนำหุ่นยนต์รับผิดชอบการชิงเผาตามกำหนดจากสตาร์ทอัพ BurnBot มาทดลองใช้อีกด้วย

Bill Clerico


    “ไฟป่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบริษัทสาธารณูปโภคส่วนมาก” Clerico กล่าวกับ Forbes “มันไม่เหมือนกับการขายซอฟต์แวร์ HR สักตัว ที่คุณขายคือวิธีการแก้ปัญหาภัยคุกคามสูงสุดที่พวกเขาต้องเผชิญ”

    ด้านบริษัทประกันภัย พวกเขาออกมาชี้แจงว่าการตัดสินใจเมื่อเร็วๆ นี้ที่จำกัดการประกันภัยในแคลิฟอร์เนียถูกขับเคลื่อนโดยไฟป่าอันเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดถี่ขึ้นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น บริษัทเหล่านี้ยังพยายามผลักดันการปฏิรูปกฎหมายมลรัฐปี 1988 ที่รู้จักกันในนาม Proposition 103 ซึ่งจำกัดการเพิ่มเบี้ยประกัน (กลุ่มผู้บริโภคกล่าวว่ากฎหมายนี้ช่วยแคลิฟอร์เนียประหยัดไปหลายพันล้านเหรียญ)

    จากการขอความคิดเห็น Farmers, State Farm และ Allstate ตอบ Forbes โดยอ้างถึง Insurance Information Institute (III) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนธุรกิจประกัน

    Janet Ruiz โฆษก III กล่าวว่ากฎหมายดังกล่าวคือเหตุผลที่อัตราเบี้ยประกันภัยของแคลิฟอร์เนีย “อยู่ในระดับต่ำเกินความเป็นจริง” มาตลอด 35 ปี

    “เราเสียกำไรจากการรับประกันภัยในแคลิฟอร์เนียมูลค่าเทียบเท่า 20 ปีไปในเวลาเพียง 6 ปีที่ผ่านมา” เธอกล่าว ซึ่งหลายปีมานี้ไฟป่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ค่าใช้จ่ายการประกันภัยต่อ ราคาค่าก่อสร้างสูง และภาวะเงินเฟ้อต่างทวีความรุนแรงกลายเป็นปัจจัยเสริมที่กระทบธุรกิจประกัน

    อย่างไรก็ตาม Dave Jones อดีตคณะกรรมการธุรกิจประกันภัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่าย Climate Risk Initiative ที่ Center for Law, Energy and the Environment แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เผยกับ Forbes ว่า แม้มีความเสียหายจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนียมากขนาดนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทประกันต่างยังคงทำเงินกันได้

    “ไม่มีบริษัทใดล้มละลาย” เขาบอก “อัตราเบี้ยประภัยถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงการทำกำไรของพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ นี่เป็นระบบเสรีนิยม พวกเขาไม่มีการันตีผลกำไรหรอก”

    ในขณะเดียวกัน Daniel Swain นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส พิศวงว่าการผจญเพลิงแบบเดิมจำเป็นต้องมีการนำเทคโนโลยีจาก Silicon Valley เข้ามายกระดับประสิทธิภาพจริงหรือ เขามองนวัตกรรมรับมือกับอัคคีภัยเหล่านี้ส่วนใหญ่ว่าเป็น “ความน่ากังขาถึงขีดสุด”

    อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์ว่าด้วยการลดความเสี่ยงอัคคีภัยนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ การเดินสายไฟใต้ดินในพื้นที่ความเสี่ยงสูง การเสริมความแข็งแรงแก่บ้าน หรือกระบวนการประเมินวัสดุก่อสร้างกับพื้นที่ป่าใกล้เคียง ต่างเป็นไปเพื่อลดความอ่อนไหวต่อไฟป่า เหนืออื่นใด Swain และหลายคนกล่าวว่า จำเป็นต้องมีการชิงเผาตามกำหนดบ่อยกว่านี้

    “ไฟป่าเป็นกระบวนการธรรมชาติ ส่วนหนึ่งของปัญหาคือเรายังมีไฟในระดับอ่อนๆ ไม่เพียงพอ” เขาบอก Forbes

    “เป้าหมายที่เราต้องการในอนาคตคือขจัดไฟป่าให้หมดสิ้นไปใช่หรือไม่? คำตอบคือไม่ ปัญหาคือหากเราป้องกันไฟระดับอ่อนๆ เล็กๆ ไปแล้ว 99% ที่เหลือเราจะต้องเผชิญกับไฟขนาดมโหฬารอันรุนแรงซึ่งสาหัสกว่ามาก ถึงไม่ได้เกิดบ่อย แต่เลวร้ายยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องการคือไฟเล็กๆ น้อยๆ ไม่รุนแรงแต่ถี่ขึ้น แต่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้หรือเปล่า”

    

    แปลและเรียบเรียง Startups Think They Can Beat Wildfires, But Insurance Companies Aren,t Buying It Yet ซึ่งเผยแพร่บน Forbes

    

    อ่านเพิ่มเติม : Antheia หมักยีสต์ผลิตยา แก้ปัญหาเภสัชอุตสาหกรรม

    ​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine