ความหวังใหม่ของธุรกิจคนผิวสี - Forbes Thailand

ความหวังใหม่ของธุรกิจคนผิวสี

FORBES THAILAND / ADMIN
05 Aug 2023 | 11:30 AM
READ 640

ด้วยความตั้งใจที่จะผลักดันผู้บริหารผิวสีที่มีความสามารถสูงในโลกธุรกิจของสหรัฐฯ ให้เพิ่มมากขึ้น Mellody Hobson แห่ง Ariel Investments วางแผนที่จะแต่งตั้งคนผิวสีเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง พร้อมกับเชื่อมโยงให้รู้จักกลุ่มลูกค้าและแหล่งเงินทุนสู่ความสำเร็จ

    

    ในปี 1980 Mellody Hobson นักเรียนชั้นเกรด 6 แห่งโรงเรียน Chicago Public Schools รู้สึกอับอายที่ฟันเกของเธอซี่หนึ่งจะคอยยื่นโผล่มาพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งไม่ใช่ภาพที่เธอวาดให้กับตัวเองแม้แต่น้อย

    เธอไล่ถามชื่อทันตแพทย์จากเพื่อนๆ ที่จัดฟัน และทำการนัดหมาย เมื่อโรงเรียนเลิกเธอเดินตรงไปยังคลินิกทำฟันทันทีโดยไม่ได้บอกให้แม่รู้ หมอฟันบอกว่าเธอจะต้องใส่เหล็กดัดฟันไปอีกหลายปีรวมแล้วคิดเป็นเงิน 2,500 เหรียญสหรัฐฯ นับเป็นจำนวนเงินที่มากมายเหลือเกินสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเลี้ยงดู Hobson กับพี่น้องอีก 5 คนในครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินฝืดเคืองจนไม่สามารถจ่ายค่าไฟฟ้าได้ครบทุกงวด และบางครั้งถึงกับโดนตัดไฟ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร Hobson หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องจัดฟันซี่นั้นให้ได้ เธอตกลงกับหมอฟันว่าเธอจะจ่ายค่าจัดฟันเดือนละ 50 เหรียญ

    เมื่อเธอเรียนอยู่เกรด 8 Hobson ตั้งใจจะเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมปลายในโรงเรียนเอกชนระดับหัวกะทิของ Chicago เธอถามเพื่อนๆ ว่า สมัครเรียนต่อที่ไหนกัน ก่อนจะโทรศัพท์นัดหมายโรงเรียนต่างๆ เธอกับแม่ตระเวนเยี่ยมชมโรงเรียนด้วยกัน กระทั่งในที่สุดเธอได้รับทุนการศึกษาที่ St. Ignatius College Prep

    ในปี 2020 ท่ามกลางการประท้วงทั่วประเทศกรณี George Floyd ทำให้ Jamie Dimon ซีอีโอ JPMorgan Chase อยากจะให้ความช่วยเหลือธุรกิจของคนผิวสี จึงโทรศัพท์หา Hobson ซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของ JPMorgan ในเวลานั้น โดยหวังจะได้รับการสนับสนุนจากคนที่มีเจตจำนงเดียวกัน “ผมบอกเธอว่า เราจำเป็นต้องมีความพยายามอย่างยั่งยืนที่จะเข้าลงทุนในบริษัทของชนกลุ่มน้อยและโดยรวมแล้วต้องมีกำไรด้วย” Dimon เล่าย้อนบทสนทนาในวันนั้น เขาบอกกับ Hobson ว่า อยากให้ Ariel Investments ซึ่ง Hobson ดำรงตำแหน่งซีอีโอร่วมและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทอยู่นั้นเข้ามามีส่วนร่วม Dimon ร่ายยาวรายชื่อธุรกิจของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่มีโอกาสจะดึงเข้ามาเป็นพันธมิตร

    แม้ Hobson จะมีบุคลิกโผงผาง แต่เธอยังคงมองในแง่ดี “ฉันบอกเขาไปว่า Jamie บริษัทบางแห่งก็ไม่อยู่แล้ว ซึ่งเขาเองยังไม่รู้ แต่ฉันคิดว่าฉันมีแผนการ” เธอร่างบันทึก 4 หน้าแสดงรายละเอียดโครงการ Project Black จากนั้นจึงส่งอีเมลถึง Dimon เมื่อวันที่8 กันยายน หรือ 1 สัปดาห์หลังจากที่เขาโทรศัพท์หาเธอครั้งแรก  

    แผนของเธอคือ Ariel จะก่อตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนในกิจการนอกตลาด โดยจะเข้าลงทุนในบริษัทในตลาดขนาดกลาง พร้อมกับให้การสนับสนุนด้านเงินทุน (และที่สำคัญกว่านั้นคือข้อมูลสำหรับติดต่อ) ที่จำเป็นสำหรับเสนอขายตัวเองต่อบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการกระจายห่วงโซ่อุปทาน Dimon ชอบใจแนวคิดนี้ทันที “เมื่อพูดถึงธุรกิจของคนผิวสี หลายคนจะคิดถึงแต่การเข้าถึงเงินทุน แต่จริงๆ แล้วการเข้าถึงลูกค้าอาจสำคัญกว่า” Hobson กล่าว “ปัจจุบันบริษัทต่างๆ ใช้จ่ายเงินกับซัพพลายเออร์ที่ชนกลุ่มน้อยเป็นเจ้าของเพียง 2% เท่านั้น”

    กลยุทธ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นมุมมองที่ฉีกแนวคิดแบบเดิมๆ กล่าวคือ ผู้ประกอบการผิวสีจำนวนมากเริ่มต้นกิจการของตนเองแต่มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถเติบใหญ่จนกลายเป็นซัพพลายเออร์ให้กับ Walmart ทั่วโลกได้ ในสหรัฐฯ มีบริษัทเอกชนนอกตลาดราว 500 รายที่มียอดขายเกินกว่าปีละ 1 พันล้านเหรียญ ในจำนวนนี้มีเพียง 5 แห่งเท่านั้นที่มีเจ้าของเป็นคนผิวสี

    Project Black มุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามอุปสรรคด้านขนาด โดยจะเข้าซื้อบริษัทที่มียอดขายระหว่าง 100 ล้านเหรียญถึง 1 พันล้านเหรียญ หากบริษัทเหล่านี้ไม่ได้บริหารกิจการโดยชนกลุ่มน้อยอยู่ก่อนแล้ว Project Black จะแต่งตั้งผู้บริหารที่เป็นชาวผิวสีหรือชาวละตินรับหน้าที่บริหารกิจการ หรืออย่างที่ Hobson เรียกว่า ทำให้บริษัทเป็นของ “ชนกลุ่มน้อย” หลังจากนั้น บริษัทเหล่านี้จะอยู่ในฐานะที่ดีพอที่จะเข้าซื้อกิจการของชนกลุ่มน้อยเช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า เพื่อขยายกิจการจนกลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับหัวแถวที่มีความสามารถในการแข่งขัน ตอบสนองความต้องการด้านห่วงโซ่อุปทานของบริษัทรายใหญ่ พร้อมกับกระจายเป้าหมายของตนไปในเวลาเดียวกัน

    เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา Ariel สามารถปิดกองทุน Project Black ด้วยพันธสัญญาจาก AmerisourceBergen, Amgen, Lowe,s, Merck, NextEra, Nuveen, Salesforce, Synchrony, Truist, Walmart, Qatar Investment Authority ตลอดจนมูลนิธิของครอบครัว Hobson เอง รวมถึง Steve Ballmer อดีตซีอีโอ Microsoft ที่ลงทุน 200 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมกัน 1.45 พันล้านเหรียญ บวกกับ JPMorgan ที่เคยสัญญาเมื่อปี 2021 ว่าจะให้ทุนเริ่มต้นจำนวน 200 ล้านเหรียญ

    จำนวนเงิน 1.45 พันล้านเหรียญนั้นสูงกว่าขนาดเฉลี่ยของกองทุนที่ลงทุนในกิจการนอกตลาดกว่า 5 เท่าตัว อีกทั้งยังทำให้สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ Ariel(นับรวมกองทุนรวมและบัญชีที่มีการบริหารจัดการแยกต่างหาก) มีมูลค่าสูงกว่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญ Ariel เป็นบริษัทลงทุนที่มีคนผิวสีเป็นเจ้าของที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ (ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1983) โดยมี Hobson ถือหุ้นอยู่เกือบ 40% ซึ่งจากการประเมินของ Forbes นั้นคิดเป็นมูลค่า 100 ล้านเหรียญ ขณะที่ John W. Rogers Jr. ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอร่วมถือหุ้น 34% เช่นเดียวกับอีกหลายๆ อย่างที่ Hobson วัย 53 ปี ทำมาตลอดอาชีพที่ไม่เหมือนใครนี้ Project Black ไม่ใช่โครงการที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นได้เอง และก็ไม่ใช่ผลงานของเธอเพียงคนเดียว

    อันที่จริงแล้ว Project Black เกิดขึ้นจากความพยายามอย่างหนัก การวิเคราะห์ และการสร้างเครือข่ายอย่างไม่ยอมแพ้มาตลอดระยะเวลาหลายปี หลังเหตุฆาตกรรม Floyd ด้วยน้ำมือของตำรวจจาก Minneapolis เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2020 Hobson จัดการประชุมกับบรรดาผู้บริหารธุรกิจชั้นนำของคนผิวสีผ่าน Zoom เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ เพื่อระดมสมองหาวิธีที่นายทุนจะสามารถลดช่องว่างความมั่งคั่งทางเชื้อชาติ พร้อมกับทำกำไร “ฉันบอกไปว่า เรื่องนี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”

    Leslie A. Brun ชาวเฮติวัย 70 ปี ผู้ก่อตั้ง และอดีตนายใหญ่แห่ง Hamilton Lane (ปัจจุบันรับหน้าที่ดูแลการลงทุนทางเลือกต่างๆ คิดเป็นมูลค่า 8.24 แสนล้านเหรียญ) เป็นขาประจำที่เข้าร่วมประชุมทาง Zoom อยู่เสมอ เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Ariel Alternatives (บริษัทบริหารโครงการ Project Black) ร่วมกับ Hobson และปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอ เราสามารถเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีสื่อสารความหมายของ "กิจการของชนกลุ่มน้อย" ได้ Brun กล่าว “ตามคำจำกัดความอย่างเป็นทางการให้ไว้ว่า เป็นกิจการขนาดเล็กและด้อยโอกาส เราต้องการเป็นกิจการขนาดใหญ่และได้รับโอกาส”

    ในบรรดาบริษัทลงทุนเน้นคุณค่า Ariel Investments เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่เลือกใช้วิธีการซื้อและถือรออย่างอดทน ซึ่งแตกต่างกับบริษัทลงทุนรายอื่นๆ ในห้องประชุมและห้องทำงานเกือบทุกห้อง ทั้งในสำนักงานใหญ่ที่ Chicago และห้องทำงานประจำของ Hobson ที่ Presidio ใน San Francisco ล้วนประดับประดาด้วยหุ่นโลหะ รูปปั้นไม้จำลอง รูปปั้นหิน และภาพพิมพ์บนกระดองเต่าเป็นรูปเต่าแต่ในความเป็นจริงนั้น Hobson เจิดจรัสที่ Ariel อย่างรวดเร็ว Rogers ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งดึงเธอมาร่วมงานทันทีหลังจบการศึกษาที่ Princeton เมื่อเธออายุได้เพียง 25 ปี เขาบอกเธอว่า เขามีแผนจะให้เธอดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ก่อนที่เธอจะอายุครบ 30 ปี “ถ้าคุณมีดาวเด่นอยู่กับตัว คุณย่อมอยากปูเส้นทางอาชีพให้พวกเขาได้เห็น มันเป็นหลักพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” Rogers กล่าว เขาเห็นเธอฉายแววตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายขณะกำลังเฟ้นหานักเรียนจาก Chicago เข้าศึกษาต่อที่ Princeton

    ตั้งแต่วัยประถม Hobson ให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อเป็นใบนำทางสู่อนาคตที่มั่นคง ในเวลานั้น เธอเป็นลูกคนเล็กของ Dorothy Ashley จากลูกๆ ทั้งหมด 6 คน พี่คนโตอายุมากกว่าเธอถึงเกือบ 20 ปี Hobson บอกว่า คุณแม่ของเธอเป็นคนน่ารัก มองโลกในแง่ดี (บางครั้งก็ดีเกินไป) และขยันทำงานอย่างหนัก Ashley พยายามทำเงินจากการปรับปรุงห้องชุดสำหรับพักอาศัย แต่ก็ต้องตกอยู่ท่ามกลางการเลือกปฏิบัติและทักษะการบริหารเงินที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้เธอไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ครบ ตลอดชีวิตวัยเด็กของ Hobson ต้องเผชิญการขับไล่และการตัดน้ำตัดไฟครั้งแล้วครั้งเล่า

    “ฉันรู้สึกไม่มั่นคงอย่างมาก” Hobson กล่าว ในเวลาต่อมาเธอกลายเป็นผู้สนับสนุนที่มีอิทธิพลในการให้ความรู้ทางการเงิน “ฉันกลายเป็นคนที่รู้จักชีวิตมากกว่าที่เด็กคนใดควรจะได้รู้จัก ฉันรู้จักค่าเช่าบ้าน ฉันรู้เวลาที่เลยกำหนดจ่ายค่าโทรศัพท์”

    Hobson ได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อจากทั้ง Harvard และ Princeton เธอตั้งใจว่าจะเลือก Harvard จนกระทั่งได้เข้าร่วมงานรับประทานอาหารค่ำเพื่อเฟ้นหานักศึกษาใหม่ของ Princeton ที่ Chicago Yacht Club ซึ่งRogers เป็นผู้จัด โดยมี Richard Missner นักร่วมลงทุนนั่งข้างๆ เธอ เขาประกาศว่าเขาตั้งใจที่จะเปลี่ยนทั้งการเลือกมหาวิทยาลัยและชีวิตของเธอ เขาเริ่มโทรศัพท์หาเธอทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้เชิญเธอมาร่วมรับประทานอาหารเช้ากับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งที่ Princeton คือ Bill Bradley อดีตซูเปอร์สตาร์ทีม New York Knicks ซึ่งในเวลานั้นเป็นถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Missner จัดให้เธอได้นั่งเคียงข้างแขกกิตติมศักดิ์ผู้นี้

    “Mellody ทำให้ผมประทับใจมากๆ” Bradley กล่าว “เธอมาถึงจุดนี้ได้ก็ด้วยค่านิยมที่เธอยึดมั่นในฐานะพี่ใหญ่ระดับชั้นมัธยม รวมถึงวินัยอันน่าเหลือเชื่อ และระดับพลังงานบวกที่ทำให้ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้เธอ” Hobson เลือก Princeton มิตรภาพอันยาวนานก่อตัวขึ้น ณ จุดนี้เอง เมื่อ Bradley ลงสมัครเพื่อเข้ารับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดีจากพรรคเดโม-แครตในปี 2000 Hobson รับหน้าที่ระดมทุนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สร้างความประทับใจให้กับ Howard Schultz เศรษฐีพันล้านแห่ง Starbucks ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอีกรายของ Bradley ในปี 2005 Hobson ได้เป็นกรรมการ Starbucks ก่อนกลายเป็นประธานคณะกรรมการที่ไม่ใช้ผู้บริหารในปี 2021 ทำให้เธอเป็นสตรีผิวสีเพียงคนเดียว

    

    อ่านเพิ่มเติม : Esri เผยเทรนด์ GIS น่าจับตา 3D Digital Twin และ GeoAI มาแรง

    คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine