ในปีนี้ เศรษฐกิจของประเทศฟิลิปปินส์คาดว่าจะมีการฟื้นตัวกลับไปยังสภาพก่อนเกิดโรคระบาด ท่ามกลางผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยและราคาสินค้าที่ยังคงพุ่งสูงขึ้น โดยคาดว่าจีดีพีจะขึ้นไปที่ร้อยละ 7 อันเป็นผลพวงมาจากการกลับมาของภาคส่วนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายที่มากขึ้นของภาคครัวเรือน ก่อนที่ปัจจัยจากสภาวะเงินเฟ้อจะชะลอการเติบโตของจีดีพีลงไปที่ร้อยละ 6.3 ในปี 2023 และร้อยละ 6.4 ในปี 2024
ถึงแม้ว่างบประมาณขาดดุลจะเกินร้อยละ 8 ของจีดีพี ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทางรัฐบาลชุดใหม่ของฟิลิปปินส์ที่นำโดยประธานาธิบดี Ferdinand “Bongbong” Marcos Jr. กำลังวางแผนนโยบายการคลังเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานและความยากจน
ทางด้านที่ปรึกษาด้านการเงินของรัฐบาล Benjamin Diokno ได้ออกมายืนยันกับภาคธุรกิจในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ Debt-to-GDP ratio ไม่เป็นที่น่ากังวล เนื่องจากรัฐบาลกำลังวางแผนดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังเพื่อใช้แก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม มีการคาดว่าสกุลเงินเปโซจะยังคงอ่อนค่าต่อสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ ซึ่งพิจารณาจากการพยากรณ์งบประมาณขาดดุล ในปี 2022 รวมถึงอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังพุ่งสูงขึ้น
ดัชนีชี้วัดความน่าลงทุนของประเทศต่างๆ หรือ Global Opportunity Index 2022 ที่จัดทำโดย Milken Institute ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยไม่แสวงหาผลกำไรจากประเทศสหรัฐฯ ชี้ว่าฟิลิปปินส์ถูกจัดอันดับอยู่ที่ 83 จาก 126 ประเทศ นำหน้าเพียงสองประเทศจากภูมิภาค ได้แก่ กัมพูชา และ สาธารณรัฐประชาชนลาว
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ Michael Ricafort จากธนาคาร Rizal Commercial Banking กล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า การปรับปรุงนโยบายการต่างประเทศ พร้อมด้วยการเดินหน้าปฏิรูปกฎหมาย นโยบายการคลัง มาตรการต่อต้านการคอร์รัปชั่น และการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน หรือ ESG จะช่วยดึงดูดการลงทุนมากยิ่งขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านคาดว่า อันดับของฟิลิปปินส์ในดัชนีความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Ease of Doing Business Index ของธนาคารโลก จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ รวมถึงจะมีการริเริ่มพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและลดระเบียบทางราชการอันยุ่งยาก ในขณะที่ ประธานาธิบดี Marcos มุ่งเน้นแผนนโยบายปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและการผลิตอาหาร
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่าฟิลิปปินส์จะเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกกับ RCEP (the Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือ ความตกลงทางหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก โดย RCEP นั้นนับว่าเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกและให้ผลประโยชน์ทางการค้าต่างๆ กับประเทศที่ให้สัตยาบัน อาทิ การยกเว้นภาษี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นโยบายจับมือด้านการค้ากับจีนภายใต้การบริหารของรัฐบาลเก่าโดยประธานาธิบดี Rodrigo Duterte ยังไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัดว่าจะดำเนินต่อไปหรือไม่
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
