พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของ ‘เซ็นทรัล เอ็มบาสซี’ ปรับพื้นที่ดึงคนเมืองหลากรูปแบบ
3 ปีหลัง เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เปิดบริการ ณ แยกเพลินจิต-วิทยุ สร้างอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์การค้าระดับลักเซอรีที่เต็มไปด้วยร้านแบรนด์พรีเมียม โดยโครงการมูลค่า 18,000 ล้านบาทแห่งนี้เหลือเพียงส่วนสุดท้ายคือ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ในทาวเวอร์ชั้น 9-36 ของอาคารที่จะเปิดบริการในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์
ยุวดี จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัลมีการพัฒนารูปแบบของศูนย์การค้ามาตลอด 70 ปี โดยยุคแรกของเซ็นทรัลคือยุคของ Department Store จนพัฒนาเป็น One-Stop Retailer ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งเป็นศูนย์รวมการซื้อสินค้าทุกอย่างได้ในแห่งเดียว และปัจจุบันเซ็นทรัลกำลังมุ่งสู่ยุคของ Centrality หมายถึงการเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนเมือง
สำหรับปีนี้ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี กำลังจะเสร็จสมบูรณ์หลัง โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ เปิดให้บริการ และถือเป็นหนึ่งใน Central Luxury Collection ร่วมกับห้างสรรพสินค้าระดับลักเซอรีในพอร์ตของเซ็นทรัลทั่วโลก ได้แก่ la Rinacente ใน Milan, ILLUM ใน Copenhagen และ Alsterhaus, Oberpollinger, Kadewe ในเยอรมนี ซึ่งล้วนเป็นห้างสรรพสินค้าเก่าแก่และเป็นศูนย์กลางของเมืองทั้งสิ้น
ด้าน บรม พิจารณ์จิตร กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี กล่าวว่า 3 ปีของเซ็นทรัล เอ็มบาสซี มีการพัฒนาองค์ประกอบใหม่ๆ ให้กับศูนย์การค้าขนาด 70,000 ตร.ม.นี้มาตลอด จากปี 2557 เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มีความแข็งแกร่งด้านไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้ง ร้านอาหาร บริการ และกิจกรรม แต่ยังขาดองค์ประกอบด้านเอกลักษณ์ ความบันเทิง และสถานที่เพื่อครอบครัว
ซึ่งทำให้เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มีการปรับเพิ่มพื้นที่ใหม่ๆ ขึ้นมาดึงดูด 3 ส่วน คือ 1.Open House มูลค่าลงทุน 300 ล้านบาท เป็น Co-living space ที่มีส่วนประกอบต่างๆ ในพื้นที่เดียวกัน เช่น ร้านหนังสือ ร้านอาหาร 2.ศิวิไล ซิตี้ คลับ มูลค่าลงทุน 130 ล้านบาท พื้นที่แบบโซเชียลคลับที่ใช้พบปะสังสรรค์ 3.Eathai (อีทไทย) มูลค่าลงทุน 185 ล้านบาท ศูนย์รวมอาหารไทยและซูเปอร์มาร์เก็ต
รวมถึง โรงแรม พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ขนาด 222 ห้อง ที่พร้อมเปิดให้บริการวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ จะทำให้โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซีเสร็จสมบูรณ์และช่วยดึงดูดผู้ใช้บริการในศูนย์การค้า
นอกจากนี้พื้นที่บางส่วนบนชั้น 2-3 ของศูนย์ฯ ซึ่งครบกำหนดสัญญารอบ 3 ปี จะมีการหมุนเวียนนำร้านใหม่ที่เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย (accessible brand) แต่มีชื่อเสียงในระดับสากล เช่น Topshop, Muji มาเป็นแม่เหล็กดึงดูดเพิ่ม
บรม กล่าวว่า จากปี 2557 กลุ่มผู้ใช้บริการมักจะเป็นคนวัย 25 ปีขึ้นไปและเป็นคนระดับบน สัดส่วนเป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30% หลังจากเปิดพื้นที่ใหม่ๆ ดังกล่าว จะทำให้ผู้ใช้บริการหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 25 ปี, นักท่องเที่ยว, ชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย (expat), ครอบครัว ฯลฯ เพื่อให้จำนวนผู้ใช้บริการจากปี 2559 มี 20,000 คนต่อวัน เติบโต 50% เป็น 30,000 คนต่อวันในปีนี้
“ฐานลูกค้าหลังจากปรับทุกอย่างไปทำให้กลุ่มใหม่ๆ มาเยอะขึ้น อย่าง Open House หลังเปิดตัวทำให้กลุ่มครอบครัวเข้ามาใช้บริการสูงเป็นเท่าตัว และโรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ เมื่อเปิดบริการแล้วเชื่อว่าจะทำให้ปีนี้อัตราส่วนของชาวต่างชาติสามารถเพิ่มจาก 30% เป็น 40% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สมดุลและจะรักษาระดับนี้ไว้” บรมกล่าว
สำหรับอัตราเช่าในเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ปล่อยเช่าแล้ว 90% และปรับราคาเช่าเพิ่ม 7% ทุกปี ด้านการใช้จ่ายของลูกค้า เฉพาะลูกค้าที่ลงทะเบียนกับเซ็นทรัล เอ็มบาสซีหรืออยู่ใน Loyalty Program พบว่ามีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีที่ผ่านมา โดยภาพรวมแล้วบรรยากาศของศูนย์การค้าดีขึ้นอย่างมากจากเมื่อปี 2557
Michael Golden ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ กล่าวต่อว่า โรงแรมแห่งนี้เป็นแห่งที่ 40 ในเครือไฮแอท และเป็นแบรนด์พาร์ค ไฮแอทแห่งที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อจากเมือง Saigon (Ho Chi Minh) และ Siem Reap ซึ่งการแข่งขันในกรุงเทพฯ ทราบดีว่ามีโรงแรม 5 ดาวจำนวนมากเปิดบริการ แต่พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ จะชูจุดขายเรื่องการบริการ คุณภาพอาหาร และการตกแต่งอย่างมีดีไซน์แวดล้อมด้วยงานศิลปะ โดยอัตราราคาเข้าพักใกล้เคียงกับโรงแรมในระดับเดียวกัน คือ 9,500-10,000 บาทต่อคืนสำหรับห้องมาตรฐาน
ทั้งนี้ ในช่วงแรกจะเปิดบริการเพียงแค่ 75-80 ห้อง ก่อนจะเปิดอย่างเต็มรูปแบบกลางเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งเป้าหมายอัตราเข้าพักช่วงปีแรก 45% และเชื่อว่าจะเติบโตได้ในปีถัดไป