มาสเตอร์การ์ดเผยดัชนีสุดยอดเมืองจุดหมายปลายทางโลก “กรุงเทพฯ” ครองแชมป์คนมาเยือนมากสุด 4 ปีซ้อน
มาสเตอร์การ์ดเผยแพร่ดัชนี สุดยอดเมืองจุดหมายปลายทางโลก (Global Destination Cities Index) ซึ่งเป็นการจัดอันดับเมือง 200 เมืองทั่วโลกที่คนมาเยือนมากที่สุด โดย กรุงเทพฯ ครองอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ด้วยจำนวนผู้มาเยือนที่สูงถึง 22 ล้านคน ขณะที่อันดับ 2 และ 3 ได้แก่ Paris และ London ตามลำดับ ซึ่งมีผู้มาเยือนกว่า 19 ล้านคน
ทั้งนี้ เมืองที่มีผู้มาเยือนสูงสุด 10 อันดับแรกต่างมีจำนวนผู้มาเยือนเพิ่มขึ้น ยกเว้น London ที่จำนวนนักเดินทางลดลงไป 4% ส่วนปีถัดไปคาดการณ์ว่า Tokyo น่าจะเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด จากการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กำลังจะมาถึง
รายงานดังกล่าวยังพิจารณาข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมวิเคราะห์เทรนด์ที่น่าสนใจอื่นๆ ด้วย เช่น ข้อแรก การเดินทางระหว่างประเทศนั้นเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปี 2009 ราว 6.5% และใช้จ่ายเงินมากขึ้นเฉลี่ยปีละ 7.4%
แม้ว่าเมืองเล็กๆ จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่เมืองใหญ่ๆ ก็ยังครองความเป็นผู้นำในการจัดอันดับไว้ได้ และจุดหมายปลายทาง 10 อันดับแรกส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเมืองเดิมๆ ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
โดยกรุงเทพฯ London และ Paris ครองตำแหน่ง 3 อันดับแรกมาตั้งแต่ปี 2010 และกรุงเทพฯ ครองอันดับ 1 ถึง 6 ครั้งใน 7 ปีที่ผ่านมา
ข้อสอง เมืองต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4% ขณะที่อันดับสองคือภูมิภาคยุโรปซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.5%
มาสเตอร์การ์ดระบุว่าการเติบโตส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ โดยจีนขยับจากที่ 8 ในอันดับประเทศต้นทาง มาเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 200 ประเทศในการศึกษาครั้งนี้ และประเทศที่ส่งนักเดินทางมาสู่โลกมากที่สุดก็คือสหรัฐอเมริกา
สำหรับ 10 อันดับจุดหมายปลายทางที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดโลกประจำปีนี้ มีดังนี้
- กรุงเทพฯ: 22.78 ล้านคน
- Paris: 19.1 ล้านคน
- London: 19.09 ล้านคน
- Dubai: 15.93 ล้านคน
- สิงคโปร์: 14.67 ล้านคน
- Kuala Lumpur: 13.79 ล้านคน
- New York: 13.6 ล้านคน
- Istanbul: 13.4 ล้านคน
- Tokyo: 12.93 ล้านคน
- Antalya, ตุรกี: 12.41 ล้านคน
โดยเมืองที่ผู้เดินทางใช้เวลาพำนักอยู่นานที่สุดคือ Antalya 14 คืน ตามมาด้วย New York 7.9 คืน London และ Istanbul 5.8 คืน และ Kuala Lumpur 5.7 คืน
ขณะที่ 10 อันดับเมืองที่มียอดใช้จ่ายรวมทั้งปีและต่อวันสูงสุด มีดังนี้
- Dubai: 3.082 หมื่นล้านเหรียญ, 553 เหรียญ/วัน
- Makkah หรือ Mecca, ซาอุดีอาระเบีย: 2.009 หมื่นล้านเหรียญ, 135 เหรียญ/วัน
- กรุงเทพฯ: 2.003 หมื่นล้านเหรียญ, 184 เหรียญ/วัน
- สิงคโปร์: 1.656 หมื่นล้านเหรียญ, 272 เหรียญ/วัน
- London: 1.647 หมื่นล้านเหรียญ, 148 เหรียญ/วัน
- New York: 1.643 หมื่นล้านเหรียญ, 152 เหรียญ/วัน
- Paris: 1.406 หมื่นล้านเหรียญ, 296 เหรียญ/วัน
- Tokyo: 1.377 หมื่นล้านเหรียญ, 196 เหรียญ/วัน
- Palma de Mallorca, สเปน: 1.269 หมื่นล้านเหรียญ, 233 เหรียญ/วัน
- ภูเก็ต: 1.201 หมื่นล้านเหรียญ, 247 เหรียญ/วัน
ทั้งนี้ 10 เมืองที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดทั้งผู้เดินทางเพื่อธุรกิจและท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังเป็นเกตเวย์ที่สำคัญสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ และการเชื่อมต่อการเดินทางภายในภูมิภาค
นอกจากนี้เม็ดเงินที่เกิดจากการใช้จ่ายยังเป็นส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของเมืองเหล่านี้ได้มากขึ้น
ที่น่าสังเกตคือมาสเตอร์การ์ดคาดการณ์ว่าจำนวนนักเดินทางที่มาเยือน Tokyo ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 10.02% และมียอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 12.74% สูงที่สุดในลิสต์ นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าจำนวนยอดใช้จ่ายของ Kuala Lumpur จะเติบโต 9.87%, Istanbul 8.14% ส่วนภูเก็ตและกรุงเทพฯ ก็ยังมีการเติบโตที่แข็งแกร่งคือ 9.16% และ 8.67% ตามลำดับ
สำหรับการจัดอันดับของมาสเตอร์การ์ดนั้นอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากภายในและภายนอก เพื่อประเมินจำนวนผู้เดินทางในปีนี้และคาดการณ์สำหรับปีหน้า อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าสถิติจริงๆ นั้นย่อมได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเมือง, เศรษฐกิจ และเหตุการณ์ต่างๆ ในอุตสาหกรรมการบินและโรงแรม
ถึงกระนั้นก็มีแนวโน้มบางประการที่ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตจะยังคงต่อเนื่อง เช่น การแห่เดินทางท่องเที่ยวของชาวจีน เป็นต้น
ความท้าทายที่เมืองเหล่านี้ต้องเผชิญคือจำนวนนักเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่เมืองต่างก็กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานซึ่งรวมถึงการขนส่งสาธารณะ, ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับนักเดินทางจากภูมิภาคใหม่ๆ รวมทั้งขยายนโยบายและขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยให้ดูแลนักท่องเที่ยวและประชาชนได้อย่างทั่วถึง
อ่านเพิ่มเติม ที่มาไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine