สิทธิชัย ทรัพย์มณีอนันต์ ปั้น ‘จัสมิน จิวเวลรี่’ สู่ความยั่งยืน - Forbes Thailand

สิทธิชัย ทรัพย์มณีอนันต์ ปั้น ‘จัสมิน จิวเวลรี่’ สู่ความยั่งยืน

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญและมีชื่อเสียงมานาน โดยเฉพาะช่างฝีมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อย่างไรก็ตามด้วยเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ความเชื่อมั่นและความไว้เนื้อเชื่อใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันอาจเป็นอุปสรรคในการทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน สิทธิชัย ทรัพย์มณีอนันต์ ทายาทรุ่นที่สองของธุรกิจร้านเพชร ภายใต้แบรนด์ “จัสมิน” จึงเข้ามารับช่วงกิจการ พร้อมสานต่อความไว้วางใจผ่านระบบการบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันได้มุ่งสร้างแบรนด์สินค้าและเอกลักษณ์ที่แตกต่างเพื่อขยายฐานไปสู่คนรุ่นใหม่ต่อไป “ผมมองเห็นแล้วว่า หากเรายังทำธุรกิจแบบเดิม มองไม่เห็นว่าคุณพ่อคุณแม่จะเกษียณได้อย่างไร ผมจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเข้ามาช่วยเขาได้อย่างไร ” สิทธิชัย บุตรชายคนที่ 3 ของตระกูลทรัพย์มณีอนันต์ ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท จัสมิน จิวเวลรี่ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ ภายใต้แบรนด์ “จัสมิน” กล่าวถึงเหตุผลในการเข้าสืบทอดกิจการต่อจากครอบครัว การดำเนินธุรกิจร้านเพชร ภายใต้แบรนด์ “จัสมิน” ในรุ่นคุณพ่อ คุณแม่ แม้จะมีการเติบโตตลอดในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แต่มีความกังวลว่าหากรุ่นหนึ่งวางมือแล้ว การเชื่อมต่อกับลูกค้าเดิมจะหายไป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้กิจการอยู่ต่อไปในระยะยาว ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สิทธิชัย กับพี่น้องจึงคุยกันที่จะสานต่อกิจการร้านเพชร “จัสมิน” ต่อไป โดยต้องมีระบบบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ มีการสร้างองค์กร มีการวางระบบบริหารจัดการ รวมถึงการสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ให้แตกต่าง เพื่อขยายฐานสู่คนกลุ่มใหม่ สิทธิชัย เล่าว่า หลังจากเรียนจบ ตัวเองได้ตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะเข้ามาสานต่อกิจการครอบครัว โดยที่ต้องมีระบบบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้ลูกค้าได้ แม้คุณพ่อคุณแม่จะเกษียณแล้วก็ตาม เพราะตั้งแต่วัยเด็กแล้วที่เห็นคุณพ่อ คุณแม่ทำงานหนัก แต่ละวันใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงในการพูดคุย ดูแลลูกค้า เพราะการทำธุรกิจร้านเพชรสมัยก่อน ลูกค้าจะติดเจ้าของร้าน ซึ่งกว่าจะใช้เวลาพูดคุยให้คุณพ่อ คุณแม่ยอมรับและเชื่อมั่นในระบบบริหารจัดการสมัยใหม่ ก็เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา  

-จากบ้านหม้อสู่ห้างสรรพสินค้า-

สำหรับครอบครัวทรัพย์มณีอนันต์ เริ่มต้นธุรกิจจิวเวลรี่ตั้งแต่ยุคที่ร้านเพชรบ้านหม้อรุ่งเรืองเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งรุ่นคุณพ่อคุณแม่มีวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับธุรกิจร้านเพชรไปสู่ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ในสมัยนั้น เมื่อโรงแรมดุสิตธานีเปิดให้บริการ จึงเข้ามาเปิดร้าน และสร้างแบรนด์ “จัสมิน” ขึ้นมา ซึ่งสมัยนั้นสีลมได้กลายเป็นย่านการค้า และธุรกิจที่มีความสำคัญ มีร้านค้า ร้านอาหารจากต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่นเข้ามาเปิดให้บริการ เพื่อรองรับชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อธุรกิจ และทำการค้ากับประเทศไทย ร้านเพชร “จัสมิน” จึงเติบโตคู่กับโรงแรมดุสิตธานีตลอดมา ขณะที่กิจการเริ่มขยายมากขึ้น จากการบอกต่อแบบปากต่อปาก ภาพที่สิทธิชัยเห็น คือการที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานอย่างหนัก เพราะโดยธรรมชาติของธุรกิจร้านเพชร ลูกค้าจะติดเจ้าของ จึงมีแรงบันดาลใจตั้งแต่วัยเด็กว่าเมื่อโตขึ้นจะต้องหาวิธีบริหารจัดการธุรกิจให้คงอยู่ได้ด้วยระบบ นอกเหนือไปจากความไว้เนื้อเชื่อใจ และต้องขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ด้วยการสร้างแบรนด์ “จัสมิน” ให้มีอัตลักษณ์ที่แตกต่างสอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าสมัยใหม่มากขึ้น จึงตัดสินใจเปิดสาขาที่สองที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม “สิ่งที่แบรนด์จัสมินต้องการ คือเมื่อลูกค้าเข้ามาภายในร้าน ต้องอยู่ในภาวะไร้แรงกดดัน เราไม่อยากให้คนที่เดินเข้ามาในร้านไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รู้สึกว่าตัวเองนั้นตัวเล็ก รู้สึกเกร็ง หรือกดดัน วิสัยทัศน์ของจัสมินไม่ได้มองว่าจิวเวลรี่เป็นเพียงเครื่องประดับ แต่เป็นงานศิลปะที่ช่วยเพิ่มความสวยงามและเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ สร้างความสุขและความสบายใจ” สิทธิชัย กล่าวว่า พนักงานของร้านจะเป็นเหมือนที่ปรึกษาสำหรับลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านอย่างเป็นกันเอง ไร้ภาวะกดดันให้ลูกค้าต้องซื้อ จนลูกค้าอึดอัด พยายามส่งผ่านความรู้สึกดีๆ ผ่านอัตลักษณ์ของแบรนด์ ให้บริการภายใต้บรรยากาศของร้านที่แสดงถึงความเรียบหรู จริงใจและเป็นกันเอง ในทุกครั้งๆ ที่เดินเข้ามา ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราแตกต่างจากแบรนด์อื่น ในช่วงต้นปี 2562 ที่ผ่านมา สาขาที่ดุสิตธานีปิดตัวลง จัสมิน ได้มาเปิดร้านที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ เป็นโชว์รูมอีกแห่งหนึ่งรองรับกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสถานการณ์โควิด  

-แบรนด์ต้องปรับตัวตามลูกค้า-

หลังจากใช้เวลากว่า 4 ปีที่ทำให้คุณพ่อ คุณแม่เริ่มไว้วางใจกับระบบบริหารจัดการร้านเพชรที่พัฒนาขึ้น พร้อมกับการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ภายใต้แนวคิด ที่ว่า “Everyday Shining” หรือ ทุกคนสามารถเปล่งประกายได้ทุกวัน แบรนด์จัสมิน จึงสามารถขยายฐานเข้าสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น และส่วนใหญ่ซื้อเพื่อเหตุผลด้านแฟชั่นเป็นหลัก สอดคล้องกับทิศทางที่วางไว้ “เมื่อก่อนพฤติกรรมการซื้อเพชรของคนรุ่นก่อน จะซื้อเพชรเม็ดใหญ่ๆ ขนาด 10 กะรัตขึ้นไป หรือซื้อเป็นชุด เป็นสร้อยแผงชุดใหญ่ๆ ซึ่งวันนี้หายากแล้ว แต่พฤติกรรมการซื้อเพชรของคนรุ่นใหม่ ซื้อขนาดกะรัตน้อยลง ดูเรียบง่ายมากขึ้น ซึ่งจัสมินพยายามสร้างความแตกต่างที่ดีไซน์ การดึงเหลี่ยม มุมของเพชร มานำเสนอให้มุมที่แตกต่าง เหมือนเวลาผู้หญิงส่องกระจกจะมีมุมที่สวยแตกต่างกัน ซึ่งผู้บริโภครุ่นใหม่เริ่มมองเห็นอัตลักษณ์เฉพาะของแบรนด์จัสมินในแต่ละคอลเลคชั่นที่นำเสนอออกมา” สิทธิชัยกล่าว   อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เพชร คือสุดยอดอัญมณีที่ล้ำค่า ทั้งในแง่มูลค่าและความรู้สึก การลงทุนซื้อเพชร คือการซื้อเพื่อส่งทอดต่อเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น จากแม่สู่ลูกสาว ของขวัญในโอกาสพิเศษ หรือวันแต่งงาน ซึ่งคุณค่าในด้านนี้ยังคงอยู่ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ การซื้อเพชรเนื่องในโอกาสพิเศษน้อยลง แต่ซื้อเพชรเพื่อเป็นรางวัลให้กับชีวิตมีมากขึ้น รวมถึงทิศทางของแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อสามารถดีไซน์ออกมาเป็นเครื่องประดับที่เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละโอกาส ความถี่ในการซื้อจึงมีมากขึ้น สิทธิชัย กล่าวว่า แม้กระทั่งในช่วงสถานการณ์โควิดที่ลูกค้าไม่สามารถไปซื้อที่เพชรหน้าร้านได้ตามปกติ ยอดขายไม่ได้ตกลงมากนัก เนื่องจากลูกค้าจะเข้ามาดูสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เลือกและนัดรับสินค้าที่หน้าร้าน ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายยังคงมีกำลังซื้อ หากเราสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงกับความต้องการ และอำนวยความสะดวกในการซื้อให้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนี่จะเป็นแนวทางที่แบรนด์จัสมินจะพัฒนาต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีในการออกแบบถูกลง การพัฒนาแฟชั่นใหม่ การสร้างสรรค์ชิ้นงานทำได้ง่ายขึ้น วันนี้ แม้เพชร จะเป็นสินค้ากลุ่มแฟชั่น ลักซัวรี่ ในอันดับท้ายๆ ที่ผู้คนจะมีการซื้อเพื่อลงทุน หรือซื้อเก็บ แต่คุณค่าของเพชรไม่เคยลดลง คุณค่านั้นจะคงอยู่ตลอดไป และแบรนด์ “จัสมิน” จะมุ่งไปในทิศทางเดียวกันนี้ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ระยะยาว “คุณค่าของเพชร จะคงอยู่ไปตลอด เพราะคุณค่าของเพชรขึ้นอยู่กับคนที่ให้ค่ามัน คนบางคนซื้อเพชรเพื่อให้คนที่รัก ซื้อให้แม่ ซื้อให้คนรัก ความสุขที่ได้รับ คือคุณค่า เหมือนกับการซื้อดอกไม้ให้กับคนที่เรารัก เพราะฉะนั้นเพชรจะยิ่งมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เมื่อสิ่งที่ผู้ซื้อและผู้ให้ได้รับ คือความสุข” สิทธิชัยกล่าวทิ้งท้าย ภาพโดย: กิตติเดช เจริญพร
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine