ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ของสหรัฐฯ ตัดสินให้ระงับคำสั่งว่าด้วยการบังคับฉีดวัคซีนซึ่งครอบคลุมทั่วประเทศของประธานาธิบดี Biden เป็นการชั่วคราว ส่งผลให้สำนักบริหารความปลอดภัยและชีวอนามัยแห่งสหรัฐฯ หรือ OSHA หยุดบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวด้วยเช่นกัน ปัจจุบันคดีนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์อีกแห่งหนึ่ง และจะไปสิ้นสุดที่ศาลอาญาซึ่งจะยกเลิกคำสั่งของฝ่ายบริหารนี้ในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาประธานาธิบดี Biden ออกคำสั่งบังคับให้บริษัทเอกชนที่มีพนักงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปต้องให้พนักงานฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา หรือต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นประจำทุกสัปดาห์ รวมถึงใส่หน้ากากอนามัยในระหว่างการทำงานด้วย ผู้ประกอบการที่ละเมิดคำสั่งดังกล่าวจะต้องเสียค่าปรับกว่า 13,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง การออกคำสั่งที่ครอบคลุมเบ็ดเสร็จแบบนั้นจะสร้างบรรทัดฐานอันเลวร้ายขึ้นในสังคม อย่างเช่นผู้ใดหรือสิ่งใดที่จะสามารถยับยั้งคำสั่งของฝ่ายบริหารที่อาจมีขึ้นในอนาคตซึ่งสั่งห้ามหรือจำกัดการจำหน่ายหรือการบริโภคน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเพื่อต่อกรกับพิษภัยของโรคอ้วน ยังไม่ต้องพูดถึงการควบคุมการจำหน่ายมันฝรั่งทอดหรืออาหารขยะต่างๆ อย่างเข้มงวด หรือการสั่งห้าม (แบบเสมือนจริง) จำหน่ายบุหรี่ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคร้ายแรงต่างๆ ฝ่ายบริหารกล่าวว่า ประธานาธิบดี Biden มีสิทธิในการออกพระราชกำหนดฉุกเฉินต่างๆ หากแต่พระราชกำหนดฉุกเฉินบังคับใช้กับเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันทันทีอย่างการระบาดของไวรัสโคโรนาซึ่งปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2020 เป็นต้นมา คำว่า ฉุกเฉิน ใช้ไม่ได้ในบริบทนี้ ประธานาธิบดี Biden ออกมาประกาศถึงเรื่องนี้ในเดือนกันยายน หากแต่ฝ่ายบริหารมีคำสั่งอย่างเป็นทางการซึ่งมีความยาว 490 หน้าออกมาในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม ปี 2022 ยิ่งไปกว่านั้นคำสั่งดังกล่าวไม่ได้คำนึงถึงผู้ที่เคยได้รับเชื้อโควิด-19 แพทย์หลายต่อหลายคนได้ชี้ชัดว่า ภูมิคุ้มกันที่ได้จากการรับเชื้อโควิด-19 นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการได้รับวัคซีนถึง 27 เท่า การต่อสู้ทางกฎหมายจะดำเนินไปจนถึงชั้นศาลฎีกาในไม่ช้านี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าศาลจะยกเลิกคำสั่งดังกล่าวในที่สุด ในตอนนั้นบางทีรัฐบาลอาจจะต้องทำงานอย่างหนักในการตอบข้อสงสัยต่างๆ ด้วยความใจเย็นและระมัดระวัง คำนึงถึงผู้ที่เคยได้รับเชื้อโควิด-19 มาแล้ว และพิจารณาถึงประสิทธิภาพของยาที่ผลิตโดย Pfizer และ Merck อีกด้วย- เค้าลางของการใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดอย่างผิดๆ -
กระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดี Biden ได้ยื่นฟ้องข้อหาผูกขาดทางการค้าเพื่อยับยั้งการซื้อกิจการสำนักพิมพ์ Simon & Schuster โดยคู่แข่งรายใหญ่กว่าหลายเท่าตัวอย่าง Penguin Random House การกระทำเช่นนั้นถือว่ามาผิดทางและควรถูกขัดขวาง ความจริงแล้วการตีความกฎหมายนี้กินความไปไกลเกินข้อตกลงธุรกิจดังกล่าว ข้อตกลงธุรกิจในการรวมบริษัท Penguin-Simon & Schuster ไม่น่าจะทำให้เกิดการผูกขาดทางการค้า ยอดขายหนังสือของสำนักพิมพ์ทั้งสองแห่งรวมกันอยู่ที่ราว 27% หากแต่กระทรวงยุติธรรมกลับโอดครวญว่า นักเขียนเจ้าของผลงานขายดีอาจพลาดโอกาสได้รับเงินล่วงหน้าก้อนโต เนื่องจากมีสำนักพิมพ์เจ้าใหญ่ที่จะเข้าร่วมการประมูลลดน้อยลงไป 1 ราย และยืนกรานว่า การรวมบริษัทจะส่งผลกระทบกับเหล่านักเขียนผู้หาเลี้ยงชีพด้วยปลายปากกา ทำเนียบขาว...ขอจงเปิดตามองดูโลกแห่งความเป็นจริง การเป็นนักเขียนอาชีพมีนักเขียนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีอันทันสมัยทำให้นักเขียนสามารถตีพิมพ์ผลงานของตนเองได้ง่ายดายและทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการนั่งรอรับค่าลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ ถ้าหากว่ารัฐบาลของประธานาธิบดี Biden มีความห่วงใยตลาดหนังสือจริงๆ พวกเขาควรจับตาดู Amazon ซึ่งมีอิทธิพลในตลาดมากเป็นพิเศษ แท้ที่จริงแล้วเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคดีนี้และคดีอื่นๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันก็คือ การใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดทางการค้าเป็นอาวุธใหม่ของรัฐบาลในการควบคุมการรดำเนินธุรกิจของบริษัทเอกชน อันที่จริงแล้วคดีนี้เกี่ยวข้องกับความต้องการแผ่ขยายอำนาจของรัฐบาล ไม่ใช่การเสริมสร้างโอกาสและความก้าวหน้าให้กับภาคธุรกิจเลยแม้แต่น้อย Steve Forbes Editor-in-Chief แห่ง Forbes เรียบเรียง: ริศา อ่านเพิ่มเติม:คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในรูปแบบ e-magazine