HUBLOT เปิดตัว 4 ความใหม่แห่งโลกเรือนเวลาหรูในงาน WATCHES & WONDERS 2022 พร้อมนำส่งสุดยอดแห่งนวัตกรรม และหัตศิลป์สู่ข้อมือแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์แล้ววันนี้
งาน WATCHES & WONDERS ประจำปี 2022 ได้ปิดประตูลงไปอย่างสวยงาม โดยภายในงาน เหล่าผู้ผลิตเรือนเวลาแนวหน้าของโลกก็ต่างพากันงัดนวัตกรรมและลูกเล่นใหม่ๆ ออกมาอวดกันมากมาย โดย HUBLOT เองก็ได้นำเสนอความใหม่ถึง 4 ประการด้วยกันในงานครั้งนี้SQUARE BANG UNICO: ทรงนาฬิการูปแบบใหม่อันปรากฏ ณ WATCHES & WONDERS 2022
HUBLOT เผยโฉมนาฬิการูปทรงสี่เหลี่ยมในรูปแบบใหม่ โดย Square Bang Unico ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคอลเล็กชั่นไอคอนนิค อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่าง Big Bang และเป็นเพิ่มเข้ามาสู่ The Shaped Collection เคียงคู่กับ Spirit of Big Bang
Ricardo Guadalupe ซีอีโอแห่ง HUBLOT กล่าวถึงเรือนเวลารุ่นนี้ว่า "นาฬิการูปทรงสี่เหลี่ยมถือเป็นวัตถุที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งผู้ผลิตนาฬิกาส่วนใหญ่ไม่กล้ารับมือ เป็นรูปแบบที่แตกต่าง แปลกแยก และแหวกแนว ที่ไม่มีใครรู้จักวิธีการปรับแต่งมานานหลายทศวรรษ แต่มันยังคงรอเราอยู่ HUBLOT ตัดสินใจจะทำและสำรวจพลังของมัน ด้วยการสร้างสรรค์เครื่องบอกเวลาที่ไม่เหมือนใครอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกันกับรุ่นอื่นๆ ของ HUBLOT Square Bang Unico ไม่มีสิ่งใดมาเทียบเท่า!"
มีอะไรที่ยังไม่ได้สำรวจในการผลิตนาฬิกาหรือไม่ นี่เป็นคำถามที่แผนก R&D ของแบรนด์นาฬิกาหรูนี้ถามตัวเองทุกวัน และคำตอบก็มักจะเรียบง่ายมาก... นั่นก็คือรูปทรง ปัจจุบัน HUBLOT มีความเชี่ยวชาญ 3 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งก็คือ นาฬิกาทรงกลม นาฬิการูปทรงบาร์เรล และ MPsวันนี้รูปทรงที่ 4 ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น รูปทรงนั้นคือ สี่เหลี่ยมจัตุรัสอันเต็มไปด้วยความท้าทายอันหลากหลาย
ความท้าทายแรกคือ กลไก เนื่องจากทุกคาลิเบอร์จะมีวงล้อที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานจึงจำเป็นต้องมีกลไกในแบบทรงกลม การที่จะวางกลไกทรงกลมให้เข้ากับตัวเรือนสี่เหลี่ยมอย่างกลมกลืน ต้องมีสไตล์ที่เฉพาะเจาะจงมาก นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ผลิตนาฬิกาส่วนใหญ่จึงต้องซ่อนกลไกของพวกเขาเอาไว้ เพื่อสร้างภาพลวงตาของรูปทรงกลไกหรือไม่ก็เพราะพวกเขาล้มเหลวในการค้นหารูปแบบที่สวยงามได้
พวกเขาตัดสินใจเดินไปในทิศทางใหม่ โดยช่างผลิตนาฬิกาของพวกเขาเลือกที่จะไม่ปกปิดกลไก Unico อันเป็นความภาคภูมิใจของช่างผลิตนาฬิกาแห่งเมือง Nyon เหล่านี้ อีกทั้ง เป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบส่วนใหญ่มานานกว่า 10 ปี กลไกโครโนกราฟที่มีคอลัมน์ วีลล์ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ขณะที่ระบบ bicompax เผยอยู่บนหน้าปัดเพื่อให้เห็นการทำงานภายในที่เป็นความลับ
ความท้าทายประการที่สองคือ โครงสร้างส่วนประกอบของตัวเรือน ซึ่งถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับดีเอ็นเอของ HUBLOT โดยมีส่วนกลางของตัวเรือนที่แต่งด้วยเพลทด้านบนและด้านล่างเพื่อให้สามารถผสมผสานและปรับเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ ได้มากมาย แต่คราวนี้เป็นในรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังนั้นจึงทำให้การกันน้ำเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาก แต่เรือนเวลาเรือนนี้รับประกันการกันน้ำที่ 100 เมตร
ขนาดของตัวเรือนยังเป็นปัจจัยสำคัญ นาฬิการุ่นนี้ถูกออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ และให้ความสบายขณะสวมใส่บนข้อมือคล้ายกับรุ่น Big Bang ขนาด 42 มม. เป็นการสืบเชื้อสายมาจากรุ่นดังของแบรนด์ที่สามารถเห็นได้ในรายละเอียดอันนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างแบบแซนด์วิชของหน้าปัด ซึ่งให้ความลึกในระดับต่างๆ และเช่นเดียวกับ Big Bang หน้าปัดของ Square Bang Unico ใช้แซฟไฟร์ขนาดใหญ่เพื่อให้มองเห็นการทำงานของกลไก Unico ได้อย่างชัดเจน อีกทั้ง ยังใช้เข็มนาฬิการูปทรงเดียวกันอีกด้วย นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าสกรูทั้ง 6 ตัวบนขอบหน้าปัดได้ถูกวางไว้ในตำแหน่งเดียวกับรุ่น Big Bang อีกด้วย
ด้านข้างทั้ง 2 ด้านของ Square Bang จะพบ 'ears' จากตัวเรือนของ Big Bang เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อความสมดุลย์ในการออกแบบและปกป้องตัวเรือนไปในขณะเดียวกัน และสำหรับสายนาฬิกา นอกจากระบบ One Click ที่ได้รับความนิยมอย่างมากของรุ่น Big Bang และพื้นผิวยางแล้ว สกรูสองตัวยังถูกยึดไว้ตรงกลางเพื่อเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วง ท้ายที่สุด Square Bang ยังใช้วัสดุเดียวกับรุ่นก่อนหน้า อันได้แก่ ไททาเนียม เซรามิก และคิงโกลด์ รวมถืงเซรามิก 'All Black' ที่มีชื่อเสียง
5 รุ่นในตัวเรือนขนาด 42 มม. ที่ออกมา 3 รุ่นแรกทำจากวัสดุไทเทเนียม, เซรามิกสีดำ หรือ คิง โกลด์ ส่วนอีก 2 รุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างไทเทเนียม หรือ คิง โกลด์ กับขอบหน้าปัดเซรามิกสีดำ แต่ละรุ่นมาพร้อมกับสายยางสีดำและตัวล็อคแบบบานพับในวัสดุเดียวกันกับตัวเรือน ทำงานอย่างเที่ยงตรงด้วยกลไก HUB1280 Unico ที่ผลิตขึ้นภายในโรงงานของตัวเอง ระบบออโตเมติกโครโนกราฟ ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนทั้งหมด 354 ชิ้น เดินด้วยความถี่ 4 Hz (28,800 vib/h)
การตกแต่งขั้นสุดท้ายอย่างไร้ที่ติและให้ความรู้สึกที่ทันสมัย ด้วยสกรูขัดเงาและพ่นทราย เม็ดมะยมที่ครอบด้วยยาง ปุ่มกดที่ตกแต่งด้วยยางในแบบ 'chocolate squares' พื้นซาตินขัดมัน และเข็มชุบโรเดียมหรือทอง 5N ในแต่ละรุ่น ลวดลายของสายถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อ Square Bang โดยเฉพาะ ประกอบด้วยแถวสี่แถว (เช่นเดียวกันกับด้านทั้งสี่ด้านของตัวเรือน) ของสี่เหลี่ยมแบบนูน (เช่นเดียวกันกับขอบหน้าปัดที่อยู่บนตัวเรือน)
หากคุณต้องเลือกเพียงหนึ่งเรือน ก็ควรจะต้องเป็น Square Bang Unico All Black' ที่จะผลิตเพียง 250 เรือนเท่านั้น
HUBLOT CERAMIC: 4 เฉดสีใหม่พร้อมพาคุณเดินทางรอบโลกอันเต็มไปด้วยสีสัน
ในปี 2020 หรือ 15 ปีหลังการเปิดตัวคอลเล็กชั่นนาฬิกา Big Bang ทาง HUBLOT ได้เปิดตัวในรูปแบบที่มาพร้อมสายสร้อยข้อมือแบบผสาน พร้อมทั้งโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ที่คงความสวยงามโดดเด่นของเรือนเวลาไว้ภายใต้เส้นสายอันประณีตชัดเจนและผสานอย่างสมบูรณ์ด้วยวัสดุเซรามิก ยกเว้นเพียงหูตัวเรือนทำจากวัสดุคอมโพสิต ปุ่มกดและเม็ดมะยมหุ้มด้วยยาง“นาฬิกาแบบผสานคือความท้าทายเสมอ! และเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่ถูกเลือกสวมใส่มากที่สุด... โดยเฉพาะเมื่อเป็นนาฬิกาเซรามิกแบบผสานด้วยแล้ว ยิ่งท้าทายมากขึ้นเป็นสองเท่า อีกทั้งยังมีความโดดเด่นเฉพาะตัว และหายาก สายสร้อยข้อมือนั้นประกอบขึ้นด้วยเซรามิกถึง 22 ชิ้น แต่ละชิ้นจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือ การขึ้นรูป และกระบวนการพิเศษ... นอกจากนี้ UNICO V2 ยังเป็นกลไกจักรกลโครโนกราฟที่ผลิตขึ้นภายในโรงงานของเราเองนับตั้งแต่เริ่ม กลไกประเภทนี้เพียงไม่กี่ชุดในตลาด สามารถสำรองพลังงานได้นาน 72 ชั่วโมง พร้อมทั้งระดับความเที่ยงตรงที่ผ่านการทดลองและทดสอบแล้ว... จึงมอบทั้งความหายาก และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างให้กับผลงานทุกชิ้น” Guadalupe กล่าว
ด้วยผลลัพธ์จากนวัตกรรมนี้ HUBLOT ได้ยกระดับเซรามิก เพิ่มความแข็งแรง และความสามารถในการกันรอยขีดข่วน พร้อมทั้งเสริมความสดใสของสี แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งความมีน้ำหนักเบา อันเป็นผลลัพธ์มาจากค่าการนำความร้อนต่ำและคุณสมบัติที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ต่อผิว
จากคุณสมบัติแห่งเซรามิกของ HUBLOT นาฬิกา Big Bang Integral ในวันนี้ได้เปิดตัว 4 เฉดสีโมโนโครมใหม่ โดยแต่ละรุ่นผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 250 เรือนเท่านั้น โดยทั้ง 4 สีเป็นตัวแทนของธาตุต่างๆ ได้แก่ น้ำ, ดิน และไม้
อีกทั้งยังเป็นการพาคุณท่องโลกผ่านสีสันต่างๆ เช่น Indigo blue จาก Majorello Garden และท้องถนนแห่ง Chefchaouen ในโมร็อกโก รวมไปถึง Blue City of Jodhpur ในรัฐราชสถาน ส่วนสี Sky blue ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก South Seas ส่วน ทะเลทราย และชายหาดของทะเล Caribbean ก็เป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์สี Sand beige ท้ายที่สุด สี Jungle green นั้นสื่อถึงป่าเขตร้อน
แต่ละเรือนติดตั้งไว้ด้วยกลไก HUB1280 calibre ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีความบางยิ่งขึ้น พร้อมโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่ง่ายยิ่งขึ้นในการประกอบ รวมถึงเสริมความสามารถในการอ่านค่าได้อย่างชัดเจนและมอบประสิทธิภาพสูงสุดให้กับฟังก์ชันการใช้งาน นอกจากนี้ยังประกอบมาพร้อมความโดดเด่นของสายสร้อยข้อมือแบบผสาน ด้วย 3 ข้อสายที่ผ่านการขัดขอบและขัดลบมุม พร้อมตกแต่งพื้นผิวแบบขัดเงาและปัดซาติน งานออกแบบอันมีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวของ Big Bang Integral Ceramic นี้ได้มอบไว้ซึ่งมิติอันโดดเด่นน่าทึ่งผ่านสีสันและความประณีตของการผสมผสานการตกแต่งเหล่านี้
HUBLOT CLASSIC FUSION ORLINSKI BRACELET: มิติใหม่แห่งประติมากรรม
เมื่อเวลาสร้างศิลปะ และศิลปะสร้างเวลา! หลังจาก 5 ปีแห่งความร่วมมือระหว่าง HUBLOT และ Richard Orlinski พร้อมแล้วที่จะสานต่อความเชื่อมโยงที่ยังขาดหายไปของคอลเล็กชั่นแห่งสัมพันธภาพ ไว้ในซีรีส์นาฬิกาซึ่งประดับตกแต่งด้วยสายสร้อยข้อมือโลหะใหม่ ผ่านมิติแห่งประติมากรรมชื่อดังของศิลปินชาวฝรั่งเศสคนนี้
โดย Richard Orlinski ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัว Hublot Loves Art ในวิถีเดียวกันกับ Shepard Fairey , Maxime Pleascia-Buchi , Marc Ferrero และ Takashi Murakami ซึ่ง Orlinski เองนับเป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยชาวฝรั่งเศสที่มีผลงานขายดีที่สุดในโลกและในวันนี้ทั้งสองก็ได้ออกเดินไปตามเส้นทางแห่งความร่วมมือที่เหนือกว่าเดิม ผ่านการนำเสนอนาฬิกา Classic Fusion Orlinski Bracelet 4 รูปแบบ ซึ่งมาในสายสร้อยข้อมือโลหะผสานรูปแบบใหม่
ช่างนาฬิกาทุกคนต่างตระหนักดีว่า นี่นับเป็นความท้าทายอย่างมากในการออกแบบ โดยต้องมั่นใจว่า สายสร้อยข้อมือนี้จะสามารถผสานทั้งเชิงจักรกล และความสวยงามได้อย่างสมบูรณ์แบบกับตัวเรือนนาฬิกา ทั้งยังต้องมอบความสะดวกสบายในการสวมใส่ที่ประยุกต์ได้กับทุกๆ ขนาดข้อมือ พร้อมกับตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 มม. นี้ เรือนเวลานี้จึงเหมาะสำหรับทุกคน
อีกทั้ง ทีมวิศวกรยัง ได้แสดงออกถึงความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคในการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีเหลี่ยมมุมรวมถึงขอบขัดเงาและเหลี่ยมด้านต่างๆ ที่นิยามถึงบุคลิกอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของรูปลักษณ์ตัวเรือน ขอบด้านข้าง เม็ดมะยม และสายสร้อยข้อมือโลหะ ได้เป็นอย่างดี พร้อมถ่ายทอดไว้ด้วยสถาปัตยกรรมอันประณีต ผ่านการขัดขอบลบมุมและเหลี่ยมด้านจากวัสดุไทเทเนียมที่มีองค์ประกอบถึง 83 ส่วน
แรงบันดาลใจมาจากประติมากรรมของ Richard Orlinski ที่รูปทรงขอบขึ้นมุมต่างๆ นั้น ล้วนเผยภาพการเล่นกับแสงสะท้อนบนเหลี่ยมด้านที่ผ่านการขัดเงาแบบกระจก ส่วนข้อสายรูปทรง H ยังชวนให้นึกถึงตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ "ในฐานะประติมากร การแสดงออกถึงศิลปะของผมบนนาฬิกาข้อมือซึ่งมีพื้นที่เพียงไม่กี่เซนติเมตรของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางนั้น เปรียบเสมือนผืนผ้าใบแห่งความท้าทายอย่างแท้จริง และด้วยผลงานสร้างสรรค์บนสายแบบสร้อยข้อมือยิ่งทำให้เรือนเวลานี้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นสำหรับทีมวิศวกร ณ โรงงานการผลิต กระนั้น ด้วยองค์ความรู้ทางเทคนิคอันมิอาจเทียบเคียงได้ของพันธมิตรของผม อย่าง HUBLOT เราจึงสามารถบรรลุซึ่งภารกิจนี้ได้อย่างงดงาม" Orlinski กล่าว
ตัวเรือนไทเทเนียมขัดเงาผสานการทำงานด้วยคาลิเบอร์ HUB1100 กลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ สำรองพลังงานได้นาน 42 ชั่วโมง มาในหน้าปัดทำจากเซรามิกสีดำ หรือสีขาว แสดงสะท้อนเหลี่ยมด้านเชิงมุมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Richard Orlinski
เหมือนดั่งชิ้นงานอัญมณีแห่งศิลปะ นาฬิกา Classic Fusion Orlinski Bracelet ยังมีให้เลือกในรุ่นประดับตกแต่งด้วยเพชรบางส่วนบนสายสร้อยข้อมือแบบผสานใหม่นี้ รับไปกับสไตล์ของเรือนเวลาได้อย่างดีด้วยการเล่นกับแสงและเงา บนเหลี่ยมด้านที่ชัดเจนของตัวเรือน ขอบตัวเรือน และสายสร้อยข้อมือซึ่งประดับตกแต่งด้วยเพชร น้ำหนักรวม 3.79 กะรัต
BIG BANG TOURBILLON AUTOMATIC PURPLE SAPPHIRE: พรมแดนใหม่ภายใต้ศิลปะแห่งแซฟไฟร์
หลายคนอาจคิดว่า Orange Sapphire ในเรือนเวลา Big Bang Tourbillon Automatic รุ่นก่อนหน้านี้คือที่สุดแล้ว แต่มันยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของพลังการสร้างสรรค์ เพราะนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องของจุดหมายปลายทาง แต่เป็นเส้นทางสู่ความพยายามในการเสาะหาอย่างไม่สิ้นสุด และเหนืออื่นใดคือจิตวิญญาณและความหลงใหลที่ขับเคลื่อน HUBLOT มากว่า 40 ปีBig Bang Tourbillon Automatic Purple Sapphire รุ่นใหม่ที่มาในแซฟไฟร์สังเคราะห์สีม่วงโปร่งแสงถือเป็นครั้งแรกของโลก และเป็นสีสันใหม่อย่างแท้จริงในโลกแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูง และมากไปกว่าเพียงเรื่องของสี เรือนเวลาใหม่นี้แสดงออกถึงความพยายามอย่างไม่ลดละในการวิจัยและพัฒนาของช่างนาฬิกา โดยแต่ละสีสันใหม่นั้นล้วนเป็นผลลัพธ์จากการเล่นแร่แปรธาตุอันล้ำลึก เพื่อผสมผสานซึ่งเฉดสีอันเปี่ยมด้วยพลัง โดดเด่นและแม่นยำ ขณะเดียวกันก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบและโปร่งใส ภายใต้ตัวเรือนที่มีความซับซ้อนสูง โดยสีม่วงนี้นับเป็นผลลัพธ์ของวัสดุคอมโพสิตที่ได้มาจากอลูมิเนียมออกไซด์ และโครเมียม
โดย Guadalupe กล่าวว่า "ความต่อเนื่อง ความมุ่งมั่นอุตสาหะ ได้นำมาสู่นวัตกรรมซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการเปิดตัวนาฬิกาเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น แต่เป็นความสามารถในการรักษาไว้ซึ่งความหลากหลายในระยะยาว พร้อมความต่อเนื่องของระดับแห่งคุณภาพ ในเวลาเดียวกันก็ยังคงเดินหน้าสำรวจในพรมแดนใหม่ๆ และนี่เป็นสิ่งที่เราทำมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2016 กับนาฬิกา Big Bang รุ่นแรกๆ ในตัวเรือนแซฟไฟร์ สำหรับเวอร์ชั่นแซฟไฟร์สีม่วงนี้ ถือเป็นบทใหม่ล่าสุด และยังเป็นครั้งแรกในโลกอีกครั้ง!"อ่านเพิ่มเติม: “Cartier Women’s Initiative” ครบรอบ 15 ปี ส่งเสริมผู้หญิงสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลก
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine