Benioff 5 สาย - Forbes Thailand

Benioff 5 สาย

ในช่วงแรกของชีวิตการทำงานที่ Oracle นั้น Benioff มุ่งความสำคัญไปที่การสั่งงาน และความไว้วางใจ แต่ในการประชุมพนักงานที่ Hawaii ธีมหลักของงานคือ Ohana ซึ่งเป็นภาษา Hawaii ที่หมายถึงครอบครัว ถึงตอนนี้ Beinoff มีพนักงานหลายพันคนไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารที่แข็งแกร่งอย่าง Harris หรือผู้คุมสายงานผลิตภัณฑ์อย่าง Alex Dayon และหัวหน้าทีมขายชั้น เยี่ยมอย่าง Keith Block ซึ่งทำให้เขาสามารถมุ่งความสนใจไปที่ใครก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือจากเขามากที่สุด

ความสนใจใคร่รู้ของเขานั้นย้อนหลังกลับไปไกลถึงยุคทศวรรษที่ 1970 เมื่อเขายังเด็กและเห็นพ่อของเขาตรวจสต็อกสินค้าในห้างสรรพสินค้าของครอบครัวใน San Francisco ตอนที่เขาอายุ 17 ปี เขาได้พัฒนาวิดีโอเกม Atari ขึ้นมาเอง และขายลิขสิทธิ์เกมส์ของเขา ซึ่งทำให้ได้เงินมาส่งตัวเองเรียนที่ USC “เขาอาจจะเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ชอบลองของใหม่ๆ ซึ่ง CEO บริษัททั่วๆ ไปไม่เป็น” Jeremy Stoppelman แห่ง Yelp ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยเรียนงานจาก Benioff บอก ทุกฤดูร้อน Benioff จะไปเยี่ยมสำนักงานของ Salesforce ในต่างประเทศ เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจ ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดของการพักสมองที่ Hawaii ในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม สำหรับในปีนี้ เขาใช้เวลาสองสัปดาห์ที่ญี่ปุ่น โดยเข้าพักที่เพนท์เฮ้าส์ของ Grand Hyatt ซึ่งมีสระว่ายน้ำส่วนตัวสำหรับครอบครัวของเขาในย่าน Roppongi สำหรับ Benioff การเดินทางของเขาหลอมรวมทั้งการใช้ “ชีวิตที่บูรณาการ” เข้ากับการแสวงหาความรู้แบบ “จิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาได้มาจากหลักปรัชญาเซน (เขานับถือหลายศาสนาพร้อมๆ กัน ทั้งปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธ และก็เข้าร่วมพิธีกรรมของศาสนายิวด้วย) ภายในเวลา 36 ชั่วโมงที่ผมใช้ร่วมกับเขาที่ญี่ปุ่น เขาเอาทุกอย่างเข้ามาผนวกไว้ด้วยกัน ตั้งแต่การพบกับลูกค้ารายใหญ่ของ Salesforce ในญี่ปุ่น ไปจนถึงการชิมไวน์ที่ติดฉลากส่วนตัวของ Yoshiki นักร้องเพลงร็อคชื่อดังของญี่ปุ่นในบาร์คาราโอเกะเมื่อสองปีก่อน Benioff ได้จ้าง Shinichi Koide ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารของ Softbank, HP และ IBM ในญี่ปุ่นให้ช่วยขยายธุรกิจของ Salesforce ในญี่ปุ่น และเพิ่มจำนวนพนักงานเป็น 2,000 คน แต่เขาอยากให้ Koide บริหารแบบมีอำนาจเต็มเหมือนกับเขาและมีโครงสร้างองค์กรที่ราบขึ้น การที่เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัทมีทั้งข้อดีและข้อด้อยนั่นก็คือทำให้ Benioff มีอิสระในการที่จะวางเดิมพันทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่ และเมื่อรวมเข้ากับความกระหายที่จะทำอะไรต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดยั้ง และอุดมคติแบบเสรีนิยมของเขา ก็ทำให้ในปีที่ผ่านมา มีความพยายามที่จะใช้พลังของบริษัทมหาชนเพื่อผลักดันนโยบายซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือธุรกิจของบริษัทเลย “ผมเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าหน้าที่ของธุรกิจก็คือการทำให้โลกนี้ดีขึ้น” Benioff บอก เมื่อปีที่แล้ว เขาได้พบกับ Mike Pence ผู้ว่าการรัฐ Indiana ซึ่งขณะนี้กำลังลงเลือกตั้งคู่กับ Donald Trump โดย Benioff ขู่ว่าจะลดขนาดกิจการของ Salesforce ในรัฐ Indiana ถ้าหากตัวแทนพรรครีพับลิกันในท้องถิ่นไม่ปรับท่าทีเกี่ยวกับกฎหมาย “เสรีภาพในการนับถือศาสนา” ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มรักร่วมเพศ และนักการเมืองส่วนใหญ่ก็ยอมดำเนินการตามที่เขาต้องการ นอกจากนี้ เขายังรณรงค์ให้ผู้นำในภาคธุรกิจทำแบบเดียวกันในรัฐ Georgia และ North Carolina (ซึ่งกำลังทำอยู่ในขณะนี้) ด้วย โดย Dan Forest รองผู้ว่าการรัฐ North Carolina ตั้งฉายาให้กับ Benioff ผ่านหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ว่าเป็น “จอมเกเรแห่งภาคธุรกิจ” ยิ่งไปกว่านั้น เขายังให้ความสำคัญกับเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศในการจ่ายเงินเดือนพนักงาน และผู้บริหารของบริษัทโดยหลังจากที่ผู้บริหารหญิงสองคนตั้งคำถามว่า Salesforce ก็เป็นเหมือนบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่จ่ายผลตอบแทนแก่พนักงานชายมากกว่าพนักงานหญิงหรือเปล่า ซึ่งเมื่อ Benioff ตรวจสอบข้อมูลและพบว่าอัตราผลตอบแทนที่บริษัทของเขาจ่ายอยู่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็เพิ่มเงินเดือนให้พนักงานหญิงทั้งบริษัทรวมกัน 3 ล้านเหรียญภายในชั่วข้ามคืนเท่านั้น นอกจากนี้เขายังเป็นนักบริจาคช่วยเหลือสังคมตัวยงอีกด้วยในการแก้ปัญหาวิกฤตที่อยู่อาศัยใน Silicon Valley ทั้ง Benioff และภรรยาของเขาร่วมกันบริจาคเงินหลายล้านเหรียญเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย แต่เขายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ทุกวันนี้ เขายังพยายามระดมทุนจากเพื่อนเศรษฐีเพื่อมาทำประโยชน์ให้สังคมอีก โดยเขาต้องการให้ CEO ทุกคนให้การอุปถัมภ์โรงเรียนมัธยมต้นคนละแห่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขากับภรรยายังได้บริจาคเงินถึง 250 ล้านเหรียญให้กับมหาวิทยาลัยสองแห่งใน California และโรงพยาบาลเด็กใน San Francisco อีกด้วย แม้ว่าจะมีคนดังนอกแวดวงการเมืองจาก California หลายคนที่ผันตัวเองเข้าไปเล่นการเมือง ตั้งแต่ ดาราฮอลลีวูด (Reagan และ Schwarzenegger) ไปยัน CEO ของบริษัทเทคโนโลยี (Fiorina และ Whitman) แต่ Benioff สาบานเป็นมั่นเหมาะว่าเขาจะไม่มีวันโดดเข้าไปเล่นการเมืองแน่นอน โดยบอกว่า “ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีนักการเมืองคนไหนที่ใช้การไม่ได้ยิ่งไปกว่าผมอีก” จะว่าไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทิ้งตำแหน่งปัจจุบันของเขาซึ่งก็มีอิทธิพลเอาเรื่องอยู่แล้วไป โดยเขาได้ใช้โอกาสจากการเป็น CEO ของ Salesforce ในการเผยแพร่แนวคิดโครงการ 1-1-1 ของบริษัทเขา ที่สัญญาจะบริจาค 1% ของเวลาทำงานของพนักงาน Salesforce เทคโนโลยีและทรัพยากรที่มีให้กับหน่วยงานไม่แสวงกำไรและสาธารณกุศล ซึ่งเริ่มมีการนำแนวคิดนี้ไปใช้บ้างแล้วที่ Atlassian, Twilio และ Yelp (Benioff บอกว่าเขากำลังเจรจากับ Uber อยู่) Suzanne Di Bianca หัวหน้าทีมงานด้านการช่วยเหลือสังคม บอกว่า “ฉันมีรายชื่อของบริษัทต่างๆ ที่เข้าขั้นเป็นยูนิคอร์นอยู่ในมือแล้ว และฉันจะทำให้บริษัทเหล่านี้หันมาทำอย่างเราทีละบริษัท” และแม้จะมีภารกิจมากมายในชีวิตอยู่แล้วเขาก็ยังอุตส่าห์หาเวลาว่างทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกอย่างเช่นในคืนหนึ่ง เขาส่งข้อความมาถึงผมผ่านทาง Twitter ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่เขานิยมใช้เพื่อมองว่าคนเก่งๆ ที่จะดึงมาร่วมงานด้วย “ง่วงหรือยัง?” และเมื่อผมตอบกลับไปว่ากำลังเขียนบทความเรื่องความคลั่งไคล้เกม Pokemon Go ของผู้คนอยู่ Benioff ก็รีบแคพเจอร์ภาพผู้เล่นในเกมส์นี้ที่เขาตั้งชื่อว่า Salesforce One ส่งมาให้ผมทันที หลังจากการส่งข้อความกันในคืนนั้น เขาก็ส่งอะไรต่อมิอะไรมาให้ผมอีกเรื่อยๆ โดยที่เขาส่งคำเตือนมาว่า “ระวังให้ดี อาจมีการทวีตยามดึก” สองสามอาทิตย์ต่อจากนั้น เขาก็ส่งพวกรูปที่เขาถ่ายกับพรรคพวกของเขา รูปเขากับประธานาธิบดี Obama และรูปเขากับนักร้องตาบอด Stevie Wonder เขาเสนอตัวจะช่วยอ่านบทความชิ้นนี้ก่อนที่จะตีพิมพ์ “เป็นอันรู้กันระหว่างเราเท่านั้นพอ” และเสนอที่จะให้ความคิดเห็นกับบทความชิ้นนี้ (แต่ผมปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป) “ผมไม่แน่ใจว่าเขาได้นอนบ้างไหม” Paul Polman CEO ของ Unilever ซึ่งเป็นเพื่อนของ Benioff กล่าว เพราะการพักผ่อนดูเหมือนจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับคนที่ใช้ชีวิตหลากมิติแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Benioff รู้ดี ระหว่างสัมภาษณ์ เขามียื่น Forbes ฉบับห้าปีก่อนที่เขาขึ้นปกให้ผมดูหน้าตาเขาดูใสกิ๊งเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา “ดูซะสิผมแก่ลงไปเยอะแค่ไหน” เขาปล่อยมุกทิ้งท้ายที่จะว่าไปแล้ว เขาก็ดูแก่ขึ้นจริงๆ
คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "Beinoff 5 สาย" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2016 ในรูปแบบ e-Magazine