<h2> สตาร์ทอัพ ZORT จับมือ Investree ผนึกจุดแข็งปลดล็อกสภาพคล่องทางการเงินติดปีก SMEs ให้ขยายธุรกิจได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพิ่มสภาพคล่องได้สูงสุด 5 ล้านบาท ด้วยรูปแบบการระดมทุนรูปแบบใหม่ แบบคราวด์ฟันดิง โดยใช้ฐานข้อมูลการขายของออนไลน์มาประกอบการพิจารณา และไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp; ธนัทพันธุ์ ธนเศรษฐ์สกุล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซอร์ทเอาท์ จำกัด หรือ ZORT สตาร์ตอัปแพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจรของประเทศเปิดเผยว่า ล่าสุดได้ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ Investree บริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีการเงินที่มีฐานการทำธุรกิจอยู่ในภูมิภาคอาเซียนในรูปแบบคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) เพื่อผสานทั้งสองแพลตฟอร์มทำงานร่วมกันในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs) ที่ใช้บริการแพลตฟอร์ม ZORT เข้าถึงแหล่งเงินทุนระดมทุนรูปแบบใหม่ แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SME ที่ใช้บริการ ZORT Platform ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 4,500 ร้านค้า มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สามารถระดมทุนขั้นต่ำจากบริการนี้เริ่มต้นที่ 100,000 บาทต่อราย สูงสุดที่ 5 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกที่ SMEs จะสามารถใช้ข้อมูล ธุรกรรมทางการเงินสถิติด้านการซื้อขายและบัญชีบน Marketplace ของ&nbsp; ZORT&nbsp; มาใช้เป็นประโยชน์ในการขอเงินทุน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นครั้งแรกของไทยที่ถือกำเนิดจุดเริ่มต้นแห่งการสร้าง Ecosystem แพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจรให้มีศักยภาพและสมบูรณ์ เพื่อกลายเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจของผู้ใช้บริการสามารถเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพในตลาด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากการเก็บรวบรวมข้อมูล (Data) ของผู้ใช้แพลตฟอร์มพบ อุปสรรค (Pain Point) ของผู้ประกอบการ SMEs ขาดแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องเนื่องจากธุรกิจที่เติบโตเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ตามแผนส่งผลให้สภาพคล่องเงินทุนไม่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจ รวมทั้งผู้ประกอบการไม่มีหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน ซึ่งในระบบเงินกู้โดยเฉพาะธนาคารและสถาบันการเงินจำเป็นต้องใช้ประกันสินเชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มเริ่มดําเนินธุรกิจไม่มีสภาพคล่องทางการเงินมากพอ ประกอบกับระบบธนาคารไม่รองรับการใช้ข้อมูลประวัติ สถิติด้านการเงินและบัญชี จากการทำธุรกิจบน Marketplace มาประกอบการพิจารณา และยังพบว่ารูปแบบเงินเชื่อที่ไม่ตอบโจทย์กับความต้องการ เช่นการอนุมัติเงินกู้ระยะสั้นที่มีดอกเบี้ยสูงหรือการอนุมัติเงินกู้ในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (สสว.) ที่ระบุว่าผู้ประกอบการ SMEs มากกว่าร้อยละ 80 เผชิญกับปัญหาด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมีอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากหลายปัจจัย เช่น ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันและประวัติธุรกรรมทางการเงิน” ธนัทพันธุ์ กล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ณัทสุดา พุกกะณะสุต ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด( Investree) เปิดเผยว่า Investree&nbsp; จะเข้ามาเสริม Ecosystem ของ ZORT ให้แข็งแรงด้วยบริการด้านการเงิน และเพิ่มโอกาสให้ลูกค้า ZORT มีช่องทางการระดมทุนแบบใหม่ที่แตกต่างจากเดิม รวมถึงสามารถนำข้อมูลการซื้อขายของตนเองผ่าน ZORT Platform มาประกอบคำขอระดมทุน&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครขอระดมทุนสะดวกและรวดเร็วผ่านช่องทางเว็บไซต์ Investree คราวด์ฟันดิง แพลตฟอร์ม (Crowdfunding platform) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการระดมทุนสามารถผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสะดวก รวดเร็วใช้งานง่ายเพียงไม่กี่ขั้นตอน และทราบผลอนุมัติ เร็วสุดภายใน 3 วันหลังจากส่งเอกสารครบ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นพันธกิจของทั้งสององค์กรที่ต้องการให้ส่งเสริม SMEs มีศักยภาพสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงยั่งยืนเพราะเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยผลผลิตจาก SMEs คิดเป็น 35% ของ GDP รวมทั้งประเทศมีการจ้างงานถึง 12.6 ล้านคน คิดเป็น 72% ของการจ้างงานทั้งหมดจากบริษัท SMEs กว่า 3 ล้านบริษัท ซึ่งคิดเป็น 99 % ของจำนวนบริษัททั้งหมดในประเทศ “Investree ใช้คะแนนเครดิต ที่เป็น Data-Driven Model มาเป็นตัวกำหนดวงเงินระดมทุนให้สอดคล้องกับรายได้ และสถานะทางธุรกิจของผู้ประกอบการ ดังนั้น จำนวนเงินที่ระดมทุนของบริษัทแต่ละรายจะแตกต่างกันสำหรับผู้ที่ต้องการระดมทุนจะต้องเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบ บริษัทจำกัด ใน กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ที่ใช้ ZORT PLATFORM มาแล้วไม่ต่ำกว่า 24 เดือนและมี ยอดขายจาก Marketplace Integration เฉลี่ย 100,000 บาทต่อเดือน อัตราดอกเบี้ย 6%-26% ผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน ซึ่งตอบโจทย์และแก้ Pain Point ของ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ สะดวกรวดเร็ว สร้างสภาพคล่องทางการเงินทันต่อการขยายธุรกิจและการแข่งขันส่งผลให้เติบโตได้อย่างมั่นคง นำไปสู่การระบบเศรษฐกิจประเทศให้มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนต่อไป” ณัทสุดากล่าวอ่านเพิ่มเติม: ​<a href="https://forbesthailand.com/it/news/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B9%84" alt="จับตา &quot;เศรษฐกิจดิจิทัลไทย&quot; ทะลุแสนล้านปี 2573">จับตา "เศรษฐกิจดิจิทัลไทย" ทะลุแสนล้านปี 2573</a>​<hr class="__se__solid">​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

ZORT x Investree หนุนให้สินเชื่อ SMEs ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

<h2>ZORTOUT ประกาศความสำเร็จ 7 ปี รุกตลาดแพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจร พร้อมจับมือ LINE SHOPPING และ TikTok Shop บุก Social Commerce ปฏิวัติระบบหลังบ้าน จัดการคำสั่งซื้อ</h2>
<img class="wp-image-68863 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/09/สวภพ-ท้วมแสง-ZORT.jpg" alt="" width="650" height="433" />

สวภพ ท้วมแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซอร์ทเอาท์ จำกัด (ZORTOUT) แพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจร (ZORT) เปิดเผยว่าเมื่อปี 2558  ZORT เป็นผู้ให้บริการ Seller Management Platform ที่เป็นผู้ประกอบการไทยกลุ่มแรกๆ  โดยก่อตั้งขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์การขายผ่าน Marketplace ภายใต้แนวคิด Customer Centric ที่เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

โดย ZORT ทำหน้าที่รวบรวมการขายของจากหน้าร้านทุกแพลตฟอร์มทั้งออนไลน์และออฟไลน์มาไว้ที่เดียว ทั้งระบบจัดการออเดอร์ จัดการสต๊อก จัดการขนส่ง ระบบรับชำระเงิน (Payment Gateway) และ ฟีเจอร์ส่งเสริมการขาย (CRM) ที่พัฒนาจากความคิดเห็นของผู้ใช้งานจริงและการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Data Analysis) เพื่อต่อยอดพัฒนาการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ZORT ได้สร้างความแตกต่างและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ค้าในโลกออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งในครึ่งปี 2565 มีลูกค้าที่ไว้วางใจใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ราย มีการเติบโตถึงร้อยละ 30 จากปลายปี 2564

ทั้งจากลูกค้าระดับองค์กรและผู้ค้ารายย่อย สร้างมูลค่าการเติบโตให้ลูกค้าถึง 300 เปอร์เซ็นต์ ลดต้นทุนทางธุรกิจได้ถึงร้อยละ 30 เสริมศักยภาพให้ SME ไทยเติบโตแข่งขันกับตลาดต่างชาติและตลาดขนาดใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์

จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ ZORT ได้คิดค้นเพื่อต่อยอดในการส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถทำธุรกิจออนไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ ในปีนี้ ZORT จึงขยายการให้บริการไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มจัดการร้านค้าที่ครบวงจร ในตลาด Social Commerce โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับ LINE SHOPPING และ TikTok Shop ในการร่วมสร้างจุดเปลี่ยนให้กับวงการ Social Commerce เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับผู้ค้ามากขึ้น

ด้วยการนำระบบของ ZORT มาให้บริการบนช่องทางของ Social Commerce ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการไลฟ์ขายของ หรือ ช่องทางแชท ที่ระบบจะสามารถจัดการกับคำสั่งซื้อ พร้อมเชื่อมต่อกับระบบสต๊อกสินค้า และระบบขนส่ง รวมถึงระบบจัดการชำระเงิน เช่นเดียวกับที่ ZORT ได้ให้บริการผ่านช่องทาง Marketplace การเพิ่มการให้บริการมายังตลาด Social Commerce ช่วยเพิ่มช่องการขายสินค้าและบริการให้ผู้ค้ารายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพราะไม่เพียงแต่จะมีหน้าร้านเพิ่มมากขึ้น แต่ยังช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องเพิ่มจำนวนพนักงานในการดูแลหน้าร้านที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบ ZORT เป็นตัวช่วยที่สามารถช่วยให้ผู้ค้าบริหารจัดการการขายได้ด้วยตัวเองโดยที่ใช้พนักงานได้น้อยที่สุด

ทั้งนี้คาดว่าหลังจากที่ ZORT ขยายบริการมายัง LINE SHOPPING และ TikTok Shop จะช่วยให้ยอดขายของผู้ค้าเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 50 เนื่องจากเทรนด์ของ Social Commerce ถือว่ากำลังมาแรง และมีโอกาสขึ้นมาสร้างยอดขายได้เท่าเทียมกับ Marketplace ภายใน 1-2 ปี

จากเทรนด์การเติบโตของตลาด e-Commerce ที่น่าสนใจนี้ จะผลักดันให้ ZORT มีผลงานที่เติบโตสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน โดย ZORT ตั้งเป้าหมายเติบโต 100 เปอร์เซ็นต์ในครึ่งปีหลัง 2565 และในปี 2566 ยังคาดการณ์ว่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับ 100% อย่างต่อเนื่อง
<h2><img class="alignnone size-full wp-image-68865" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/09/ZORT-X-LINE-X-Tiktok.jpg" alt="" width="650" height="433" /></h2>
วริยา ลีระศิริ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนและพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ LINE ประเทศไทย กล่าวถึงการจับมือครั้งนี้ว่า “Social Commerce ยังคงเป็นช่องทางที่คนไทยนิยม เพราะใช้ง่าย น่าเชื่อถือจากการได้พูดคุยกับร้านค้าได้โดยตรง และสามารถสร้างประสบการณ์การซื้อขายแบบ Personalized ซึ่งเป็นเสน่ห์สำคัญที่ถูกจริตกับคนไทย ดังจะเห็นได้ว่าจำนวนร้านค้าโซเชียลบน LINE SHOPPING มีจำนวนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีถึง 450,000 ร้าน และ 80% เป็นร้านค้ารายย่อยหรือ SMEs

ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ร้านค้าโซเชียลเหล่านี้สามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซได้อย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ Liberty to Win ของ LINE SHOPPING นอกจากที่ทาง LINE SHOPPING จะมีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยให้ร้านค้า SMEs สามารถสร้างยอดขายจากฐานลูกค้าของตัวเองให้เติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว

เรายังมีการจับมือกับ ZORT ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบจัดการออเดอร์และสต็อกแบบครบวงจร ที่มีความเข้าใจและสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการรายย่อย ที่ขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์มซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเชื่อว่าการจับมือกันครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ประกอบการที่กำลังต้องการขยายธุรกิจไปอีกขั้น"

<img class="alignnone size-full wp-image-68862" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/09/กรณิการ์-นิวัติศัยวงศ์-tiktok.jpg" alt="" width="350" height="455" />

กรณิการ์ นิวัติศัยวงศ์  TikTok Shop Lead (TikTok Thailand) กล่าวว่า จากความแข็งแกร่งในแง่ของการเติบโต TikTok มีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก การผสานคอนเท็นต์ที่มีความเป็นตัวเองและมีความบันเทิง ผนวกรวมกับความเป็นคอมมูนิตี้ที่มีความหลากหลายของแพลตฟอร์ม กับ Commerce เข้าไว้ด้วยกัน

ทำให้ TikTok Shop เป็น the newest e-commerce solution from the leading destination for short-form mobile videos ที่ขยายช่องทางในการขายใหม่ๆ ในรูปแบบใหม่ สร้าง Shoppertainment หรือเทรนด์การตัดสินใจซื้อการซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยเนื้อหา ที่ให้ทั้งความบันเทิงและความรู้ จึงเกิดประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าที่แปลกใหม่และน่าประทับใจ

ผู้บริโภคจะสามารถซื้อขายสินค้าภายในร้านบน TikTok Shop ได้ทันทีผ่านลิงก์บนวิดีโอเหล่านั้น นอกจากจะได้รับความบันเทิงและสามารถทำการซื้อขายไปพร้อมกันได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังสามารถแชร์หรือส่งต่อคอนเท็นต์เหล่านั้นได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/divya-gokulnath-byjus.html">Divya Gokulnath กับเส้นทางการเรียนรู้ Byju’s ยักษ์ใหญ่ด้าน Edtech</a>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ZORTOUT ประกาศความสำเร็จ 7 ปี รุกตลาดแพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจร

<h2>ZORT จับมือ AUTOBOT โชว์เคส การใช้แพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อก หนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบรนด์คนไทยสู้แบรนด์ต่างชาติ ด้าน AUTOBOT เผยแบรนด์ต่างชาติบุกตีตลาด AI Smart Home Device แนะผู้ประกอบการยต้องเร่งปรับตัวเผยหลังใช้บริการ ZORT ต่อเนื่อง 5 ปี ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสการเติบโตเฉลี่ยปีละมากกว่า 1 ล้านบาท</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-64395" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/ZORT_AUTOBOT_0604-1.jpg" alt="" width="650" height="434" />

พาสูง ส่งศักดิ์สกุล ผู้จัดการทั่วไปบริษัท บริษัท ซอร์ทเอาท์ จำกัด (ZORT) แพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และสต๊อกครบวงจร (Seller Management Platform) เปิดเผยว่า

เทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยยังอยู่ในทิศทางการเติบโตที่ก้าวกระโดด โดยคาดว่าแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยจะมีมูลค่ามากถึง 3.5 แสนล้านบาทในสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะเติบโตอย่างน้อยร้อยละ 30 ในทุกปี

แต่ด้วยแนวโน้มตลาดที่เติบโตสูงนำมาซึ่งการแข่งขันที่เข้มข้นมีทั้งผู้ประกอบการหน้าใหม่และผู้ประกอบการเดิม เข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาด เนื่องจากเป็นช่องทางที่เข้าถึงง่ายผู้บริโภคได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว

ประกอบกับมีปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับแนวโน้มการหดตัวของประชากรไทยในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า กลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลให้การทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้อย่างมีจำกัด

ฉะนั้นในอนาคตผู้ประกอบการ อีคอมเมิร์ซ จำเป็นต้องมองหาช่องทางและตลาดใหม่ เพื่อต่อยอดและขยายธุรกิจให้เติบโตได้ รวมถึงการปรับตัวให้ทันกับปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมา

ทั้งนี้ในส่วนของ ZORT ได้เตรียมแผนการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทยทั้งขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ ให้สามารถแข่งขันในโลกของออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน โดยมุ่งมั่นพัฒนาระบบจัดการออเดอร์ และสต๊อกแบบครบวงจร ที่เข้ามาแก้ไขจุดอ่อนทางธุรกิจ ของการขายของออนไลน์ และออฟไลน์

โดยเฉพาะการเปิดร้านค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม เช่น Lazada, Shopee, JD central, Facebook หรือ Line โซเชียลคอมเมิร์ซ และเว็บไซต์ รวมถึงแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการในอนาคต

“จากวิสัยทัศน์ดังกล่าวส่งผลให้ตลอด 7 ปีที่ ZORT ได้เปิดให้บริการมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้ว 4,500 ราย เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่มีอยู่ 3,000 ราย และตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ราย

โดยจุดแข็งที่ ZORT สามารถก้าวมาอยู่ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มสัญชาติไทยได้ เพราะเป็นระบบจัดการออเดอร์ และสต๊อกแบบครบวงจรรายแรกในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Customer Centric

เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลางลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการที่ตอบโจทย์ที่สุด ใช้ง่ายที่มีใช้จ่ายน้อยที่สุด เป็นระบบที่ครบครันตอบโจทย์การทำธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กครอบคลุมถึงธุรกิจขนาดใหญ่

ผ่านการพัฒนาจากความคิดเห็นของผู้ใช้งานจริงและการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Data Analysis) มาสร้างเป็นระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่รวบรวมการขายของจากหน้าร้านทุกแพลตฟอร์มและหน้าร้านแบบออฟไลน์มาไว้ที่เดียว” พาสูง กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-64394" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/ZORT_AUTOBOT_0603-1.jpg" alt="" width="650" height="433" />

สำหรับลูกค้าของ ZORT แบ่งเป็นผู้ค้าออนไลน์รายย่อย 50% ลูกค้าองค์กร 50% โดยลูกค้าส่วนใหญ่ที่ใช้บริการ ZORT ยังคงใช้บริการอยู่ต่อเนื่อง เช่น บริษัท โรบอท เมคเกอร์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ AUTOBOT แบรนด์ดูดฝุ่นสัญชาติไทย ที่เป็นหนึ่งในผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มที่เติบโตมาด้วยกันกับ ZORT ใช้บริการต่อเนื่องมาถึง 5 ปี

ในส่วนงานด้านระบบจัดการออเดอร์ การรวมออเดอร์จากทุกช่องทางการขายมาไว้ในที่เดียว สามารถติดตามสถานะการสั่งซื้อได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีตกหล่น ระบบจัดการคลังสินค้าสามารถอัปเดตสต๊อกสินค้าอัตโนมัติได้แบบเรียลไทม์ ไปยังทุกหน้าร้านทุกแพลตฟอร์ม ที่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สำคัญมากสำหรับการขายสินค้าผ่านออนไลน์

เนื่องจากการอัพเดทสินค้าแบบเรียลไทม์เป็นการสร้างโอกาสทางการขาย เพราะการให้บริการสินค้าที่ทันใจ ทันความต้องการของลูกค้า คือ หัวใจสำคัญของการขายสินค้าออนไลน์ และยังสามารถดึงข้อมูลสต๊อกสินค้าเป็นไฟล์ Excel ได้อีกด้วย ระบบบัญชี (Accounting) จัดการเอกสารบัญชีได้ง่ายๆ

รวมถึงระบบคลังสินค้า (Fulfillment) ด้วยระบบจัดการออเดอร์ที่พัฒนามาอย่างครอบคลุม สามารถสนับสนุนการทำธุรกิจ Autobot ที่เน้นการขายบนช่องทางออนไลน์ 80% ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Autobot ก้าวขึ้นสู่แบรนด์หุ่นยนต์ดูดฝุ่นสัญชาติไทยที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ของ Shopee ในปัจจุบัน

ธรรมสร มีรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรบอท เมคเกอร์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ AUTOBOT แบรนด์ดูดฝุ่นสัญชาติไทย

เปิดเผยว่า โรบอท เมคเกอร์ ดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 9 ปี และใช้บริการแพลตฟอร์มของ ZORT มาตลอด 5 ปี นับจากปีแรกๆ ที่โรบอท เมคเกอร์ได้เปิดตัวสินค้าแบรนด์ AUTOBOT บริษัทมีพนักงานเพียง 5 คน ต่อมาเทรนด์ของการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลและวิถีชีวิตเร่งรีบ

ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปมีความต้องการสินค้าที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้านเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าแบรนด์ AUTOBOT มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ล่าสุดปี 2564 สร้างยอดขายได้ 200 ล้านบาท เติบโต 20 % จากปีก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดีการเติบโตของธุรกิจส่งผลให้บริษัทต้องเร่งต้องขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด AUTOBOT จึงมองหาแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยบริหารจัดการงานขายแบบครบวงจรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการขายตอบโจทย์ตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับการลดต้นทุนเพื่อช่วยให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศได้

ซึ่ง ZORT เป็นแพลตฟอร์มคนไทยที่ออกแบบมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการไทยเป็นตัวช่วยควบคุมต้นทุนในการจ้างพนักงานเพื่อการขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบสามารถลดขั้นตอนการทำงาน และมีความแม่นยำสูง จึงทำให้บริการสามารถนำทรัพยากรบุคคลที่มีอย่างจำกัดไปเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านอื่นๆ ได้มากมาย

“ปัจจุบันสินค้าเกี่ยวกับ AI Smart Home Device แบรนด์ต่างประเทศเข้ามาบุกตลาดประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดย AUTOBOT มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20 % และมีเป้าหมายว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 30 % ภายในปี 2566 ซึ่งการสร้างแบรนด์สินค้าของไทยต้องแข่งขันกับนานาประเทศ ซึ่งคู่แข่งเหล่านั้นมีต้นทุนและงบประมาณทำการตลาดมหาศาล

หากผู้ประกอบการไทยมีการปรับตัวเพื่อรับมือก็จะสามารถแข่งขันได้ เช่น การมีแพลตฟอร์มที่ดีมาซัพพอร์ตก็จะช่วยให้ลดต้นทุนการดำเนินงานและทำให้มีต้นทุนไปพัฒนา ขยายงานส่วนต่างๆ รวมไปถึงมีความสามารถในการกำหนดราคาขายสินค้าให้สมเหตุสมผล เพิ่มโอกาสทางการแข่งขันกับแบรนด์ต่างประเทศได้” ธรรมสร กล่าว

สำหรับแผนธุรกิจของโรบอท เมคเกอร์ในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 250 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีสินค้าทั้งหมด 8 ประเภท และมีแผนที่จะขยายไปสู่สินค้าประเภทสัตว์เลี้ยง แม่และเด็ก เพิ่มเติม

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/7-เทรนด์การลงทุน-ที่ภาคธ.html">“7 เทรนด์การลงทุน” ที่ภาคธุรกิจต้องเร่งทำ สร้างขุมพลังเพื่อการแข่งขันในโลกธุรกิจไร้พรมแดน</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events