<h2>หลังจากประสบความสำเร็จในการก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีโฆษณาดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก Jeff T. Green มหาเศรษฐีพันล้าน ผู้ก่อตั้ง The Trade Desk ได้ให้คำมั่นว่าจะร่วมบริจาคอย่างน้อย “ครึ่งหนึ่ง” ของทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่การกุศล</h2>
<img class="alignnone wp-image-54253" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-619442de16a85737d5d6aaa8-Billionaire-Jeff-Green-who-founded-The-Trade-Desk-in-2009-has-joined-The-Giving-960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Jeff T. Green" width="543" height="542" />

Jeff T.Green ร่วมลงนามใน <a style="color: #008000;" href="https://givingpledge.org/Pledger.aspx?id=430">The Giving Pledge</a> พร้อมกับมหาเศรษฐีอีกกว่า 200 รายที่ให้คำมั่นว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติอย่างน้อยครึ่งหนึ่งให้แก่การกุศล โดย Green ระบุว่า เขาวางแผนที่จะมอบทรัพย์สมบัติมากกว่าร้อยละ 90 ให้กับ "การกุศลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล" ไม่ว่าจะก่อนหรือตอนที่เขาเสียชีวิต

ด้าน The Giving Pledge ซึ่งก่อตั้งในปี 2010 โดย Bill และ Melinda Gates ร่วมกับ Warren Buffett และมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน 40 ราย มีเป้าหมายเพื่อแบ่งปันความมั่งคั่งของแต่ละคน "เพื่อจัดการกับปัญหาเร่งด่วนที่สุดในสังคม" 

โดยนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา การลงนามในคำมั่นสัญญาดังกล่าวได้ขยายไปสู่กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกใน 27 ประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร จีน อิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย แคนาดา เปรู รัสเซีย แทนซาเนีย และตุรกี ซึ่งส่วนหนึ่งของคำปฏิญาณ ผู้ลงนามมักจะเขียนจดหมายระบุรายละเอียดถึงสาเหตุการเข้าร่วมและวิธีที่พวกเขาวางแผนที่จะใช้ความมั่งคั่งเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การบรรเทาความยากจน การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย การเพิ่มขีดความสามารถของเพศหญิง การลงทุนในการวิจัยทางการแพทย์ หรือการให้ทุนสนับสนุนโครงการริเริ่มเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

“มูลนิธิของครอบครัวผมและหน่วยงานการกุศล  Dataphilanthropy มีเป้าหมายที่จะอุทิศให้กับภารกิจการกุศลที่มีเหตุมีผล ซึ่งขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพราะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการปรับใช้ทุนเพื่อแก้ปัญหาที่ยากที่สุดของมนุษยชาติ” Green ระบุในจดหมายของเขา “เราจะลงทุนในโครงการที่เราสามารถใช้ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจความคืบหน้า ข้อผิดพลาดและโอกาสของชุมชน ธุรกิจ และผู้คน การผสานทรัพยากรที่จำเป็นร่วมกันจะช่วยให้เราบรรลุความก้าวหน้าในวงกว้างได้”

ด้าน The Trade Desk ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 เพื่อช่วยให้นักการตลาดสามารถซื้อโฆษณาดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลบนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคด้วยข้อความที่กำหนดแบบไฮเปอร์ ซึ่งนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ในปี 2016 หุ้นของ The Trade Desk ได้เพิ่มขึ้นจาก 2.77 เหรียญต่อหุ้นเป็น 111.64 เหรียญในวันนี้ หรือราวร้อยละ 4,000 และมีมูลค่า ณ ราคาตลาดอยู่ที่ 5.366 หมื่นล้านเหรียญ 

ขณะที่ทรัพย์สินสุทธิของ Green อยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านเหรียญ ซึ่งทำให้เขาครองตำแหน่ง<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/forbes-400/">บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 253 ในสหรัฐฯ </a>

ในจดหมายของเขา Green เล่าถึงความทรงจำสมัยมัธยมตอนที่เขาได้พบกับชายเร่ร่อนใน Denver และใช้เวลาหลายชั่วโมงพูดคุยและฟังเกี่ยวกับชีวิตของเขา

“ตอนเด็กๆ ผมไม่ได้มีชีวิตแบบในอุดมคติ แต่วิธีการเลี้ยงดูได้หล่อหลอมตัวตนของผมให้เป็นอย่างทุกวันนี้” เขาเขียน “มันทำให้ผมอยากเรียนรู้เกี่ยวกับผู้คนอย่างตั้งใจว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เป็นอย่างทุกวันนี้”

จดหมายดังกล่าวยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับความสนใจของ Green ในการปรับปรุงการเข้าถึงการศึกษา โดยอธิบายว่าเป็น “ตัวปรับแต่งที่ยอดเยี่ยม” เขากล่าวว่าเขา "สนใจในการกุศลและการร่วมทุนที่สามารถพัฒนาวิทยานิพนธ์ และก่อให้เกิดการเติบโต”

“มันสามารถจัดการกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจที่เราเผชิญในฐานะมนุษยชาติ” Green เขียน “เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพในการเรียนรู้ เติบโต เพื่อมีส่วนร่วมในชุมชนและสังคมของเราโดยรวม ทว่าพวกเราบางคนกลับต้องเผชิญกับอุปสรรคมากกว่าคนอื่น ซึ่งเราสามารถจัดการปัญหานั้นอย่างเป็นระบบ”

ในเดือนมิถุนายน 2020 Green ได้ก่อตั้งมูลนิธิ Jeff T. Green Family Foundation ซึ่งได้บริจาคเงิน 250,000 เหรียญให้กับโปรแกรมให้คำปรึกษา และอีก 250,000 เหรียญให้กับโครงการทุนการศึกษาที่ Cal-State Channel Islands University ขณะที่องค์กรไม่แสวงหากำไรที่แยกออกมาต่างหากในชื่อ Dataphilanthropy ได้มอบเงินจำนวนที่หนึ่งให้กับ Ruth Cheatham Foundation เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กและวัยรุ่นที่เป็นมะเร็ง 

โดย Green เผยว่า ความสำเร็จของ The Trade Desk ได้ “สร้างเศรษฐีหลายพันคน” และเขาหวังว่าคำมั่นสัญญาของเขาในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขาหลายคน “หาทางตอบแทนด้วยตัวเอง”

“ไม่มีใครมาถึงจุดนี้ด้วยตัวคนเดียว” Green เขียนในจดหมายให้คำมั่นสัญญาของเขา “พนักงาน TTD นักลงทุน หุ้นส่วน และลูกๆ ของผมหลายคนเป็นส่วนหนึ่งของคนรุ่นเจน Z และอัลฟ่า และพวกเขาคงสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาบางอย่างที่ใหญ่กว่าตัวเองมาก สิ่งนี้ทำให้ผมมีความหวังอย่างมากว่าเราจะทำอะไรได้บ้างภายใต้ความร่วมมือของพวกเขา ซึ่งผมรู้สึกมีความสุขมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง”

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Billionaire Jeff T. Green, Founder Of The Trade Desk, Joins The Giving Pledge เผยแพร่บน Forbes.com โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค 

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/america/robin-mcintosh-และ-lisa-mclaughlin-จากอดีตผู้เข้าร.html">Robin McIntosh และ Lisa McLaughlin จากอดีตผู้เข้ารับการบำบัดสู่ผู้ร่วมก่อตั้งสถานบำบัด Workit Health</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events