<h2>"นิคมฯ ปิ่นทอง" เดินหน้าแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ชูแนวคิดพัฒนาโครงการ Eco Industrial Town ต่อยอดพัฒนาโครงการสู่ SMART CITY พร้อมพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 และโครงการ Logistics Park รับนโยบายภาครัฐเร่งผลักดันอุตสาหกรรม S-Curve ในพื้นที่ EEC</h2>
<strong>พีระ ปัทมวรกุลชัย</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN เปิดเผยความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัทจำนวนไม่เกิน 290 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท

และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการรออนุมัติไฟลิ่ง จากสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งคาดการณ์เสนอขายหุ้นไอพีโอหลังได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน กลต.ในปลายปีนี้

ขณะที่พีระ มีความมั่นใจในประสบการณ์ความเชี่ยวชาญดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทมานานกว่า 25 ปี โดยมุ่งพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม พร้อมระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่พาณิชยกรรม ภายใต้การดำเนินงานร่วมกันระหว่างบริษัทและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) (นิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน)

รวมถึงเป็นผู้พัฒนาอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าและเพื่อขายสำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมบนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่โลจิสติกส์ (Logistics Park) ทั้งยังลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PPF) และเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของ PPF

นอกจากนั้น บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในจังหวัดชลบุรีและระยองที่มีความโดดเด่นในด้านทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และอยู่บนถนนสายหลักที่เชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินอู่ตะเภา

โดยบริษัทยังได้รับการรับรองการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้มาตรฐานสากล หรือ ISO14001 และ รางวัล Eco-Excellence จากการใช้แนวคิดพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town)

ในปัจจุบันบริษัทมีนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง และโครงการ Logistics Park ที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 6 โครงการ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 1 (PIN1) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (แหลมฉบัง) (PIN2) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 3 (PIN3) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 4 (PIN4) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โครงการ 5 (PIN5) และโครงการ Logistics Park จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการปิ่นทองแลนด์ (PL) โดยมีพื้นที่ที่พัฒนาแล้วกว่า 7,500 ไร่

<span style="color: #993300;">“เรามีเป้าหมายมุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างมั่นคงและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมีแผนต่อยอดพัฒนานิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองไปสู่เมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะ หรือ SMART CITY</span>

<span style="color: #993300;">โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้บริหารจัดการเมืองนิคมอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงแผนพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม รองรับการขยายขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve เสริมสร้างความยั่งยืนให้แก่การดำเนินงานของบริษัทฯ ต่อไป”</span> พีระกล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-52791" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/สุรัช-พัฒนวงศ์ยืนยัง.jpg" alt="" width="600" height="392" />

ขณะที่ <strong>สุรัช พัฒนวงศ์ยืนยง </strong>ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฎิบัติการ บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค กล่าวว่า บริษัทจะนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประกอบด้วย

โครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 (PIN6) พื้นที่ประมาณ 1,322 ไร่ ที่จังหวัดระยอง ภายใต้แนวคิด Eco Industrial Town ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ (S-Curve) โดยคาดการณ์เปิดขายพื้นที่ในเฟสแรกในโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้

ส่วนโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ บริษัทได้พัฒนาที่ดินและสร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าบนพื้นที่ของโครงการที่ประกอบด้วยเขตปลอดอากร (Free Zone) และเขตทั่วไป (General Zone) คาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ภายในปลายปีนี้

ซึ่งผลักดันโครงสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 20-30 ของรายได้รวม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการเช่าโรงงานหรือคลังสินค้า และการให้บริการสาธารณูปโภคต่างๆ

ด้าน <strong>พิมล เลิศทรัพย์อนันต์ </strong>ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน PIN กล่าวว่า ภาพรวมรายได้จากการขายและการบริการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) อยู่ที่ 888.88 ล้านบาท 789.28 ล้านบาท และ 1.06 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 216.43 ล้านบาท 223.70 ล้านบาท และ 403.89 ล้านบาท โดยปัจจัยการเติบโตที่ดีในปีที่ผ่านมาเกิดจากการขายที่ดินที่พัฒนาแล้วในโครงการ PIN3, PIN4 และ PIN5 มากขึ้น

ทั้งยังสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) ซึ่งมาจากรายได้การให้เช่าและให้บริการเพิ่มขึ้นรวมถึงบริหารควบคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ โดยรายได้จากการขายที่ดินสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 205.50 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากจำนวนที่ดินที่ขายได้เพิ่มขึ้น และกำไรสุทธิ 99.31 ล้านบาทหรือเติบโตขึ้นร้อยละ 79 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.57 ล้านบาท

สำหรับ <strong>ประเสริฐ ตันตยาวิทย์ </strong>กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นสำคัญในเรื่องทำเลที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของประเทศ ในพื้นที่ EEC และโอกาสเติบโตจากโครงการใหม่ เช่น โครงการ Logistics Park โครงการปิ่นทอง 6 และโครงการสาธารณูปโภคที่สนับสนุนการประกอบธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

ทั้งโครงการท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จึงทำให้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ PIN ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในระยะยาว

ขณะที่กลุ่มเป้าหมายหลักของลูกค้าจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve เพื่อผลักดันประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจ 4.0 ประกอบกับจุดเด่นด้านแนวคิดการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) และแผนมุ่งยกระดับโครงการนิคมอุตสาหกรรมไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เพื่อเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในไทยและภูมิภาค รวมถึงบริการที่ครบวงจรของบริษัท เช่น โรงงานและคลังสินค้าให้เช่า การให้บริการ One-stop service และบริการหลังการขาย ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

นอกจากนั้น <strong>ธนัท วงษ์ชูแก้ว </strong>กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.หลักทรัพย์ กรุงศรี ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า PIN จัดเป็นหุ้นของกิจการที่อยู่ในช่วงเติบโต (Growth Stock) และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งการดำเนินงานจากแผนการลงทุนโครงการ Logistics Park แห่งใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) ส่วนที่เหลือนำไปชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป ส่งผลให้บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของรายได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ธุรกิจฟื้นตัว-บสย-ค้ำทะ.html">ธุรกิจฟื้นตัว! บสย. ค้ำทะลุ 2 แสนล้านบาท</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

&nbsp;

"นิคมฯ ปิ่นทอง" นับหนึ่งไฟลิ่งเข้าตลาดฯ

<h2>หอการค้าต่างประเทศ คาดแนวโน้มลงทุนเริ่มฟื้นตัว ต.ค.นี้ ชี้ไทยให้สิทธิพิเศษดึงต่างชาติอยู่ยาว คิกออฟงานจับคู่ธุรกิจจังหวัดขอนแก่น ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง บูมเมืองเมดิคัล ฮับอาเซียน TCEB เร่งเปิด 10 เมืองไมซ์ ดึงต่างชาติลงทุนภายใต้แคมเปญ “Smart Control and Living with Covid-19”</h2>
หอการค้าฝรั่งเศส-ไทย หอการค้าเนเธอร์แลนด์-ไทย หอการค้าเบลเยี่ยม-ลักเซมเบิร์ก-ไทย ภายใต้หอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย จัดงานฟอรัมธุรกิจผ่านระบบออนไลน์ Khon Kaen Business Forum – The VIRTUAL Event ระหว่างวันที่ 23-24 กันยายน 2564 นี้ เพื่อร่วมมือกับนักธุรกิจในจังหวัด ขอนแก่น ในหลายรูปแบบ อาทิ การจัดเสวนาทางธุรกิจ, การจัด Start-up Business Pitching, การจัดนัดหมายทางธุรกิจ Business Matching ผ่านระบบออนไลน์ 100%

<strong>สแตนลีย์ คัง</strong> ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในประเทศไทย คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวในเดือนตุลาคมนี้ หลังจากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลาย และเริ่มเปิดเมืองในหลายจังหวัด ประกอบกับการที่รัฐบาลได้ให้สิทธิพิเศษแก่ชาวต่างชาติในการพำนักในประเทศไทยได้นานถึง ทำให้ต่างชาติตัดสินใจมาลงทุนได้ง่ายขึ้น หรือที่ตั้งบริษัทอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว จะมีความมั่นใจและจะขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น

“การให้สิทธิ์ชาวต่างชาติได้ Long-term resident visa จะทำให้ต่างชาติอยู่ไทยระยะยาวขึ้น หรือตัดสินใจเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน อย่างจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีความสะดวกสบายในการเดินทาง ค่าครองชีพไม่สูงมากนัก และมีโครงการพัฒนาเมืองไปเป็น smart City ในหลายๆ ด้าน และเป็นศูนย์กลางระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่เชื่อมกับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เชื่อมต่อกับโครงการวันเบลท์ วันโรดของจีน ถือว่าจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเลือกมาลงทุนในขอนแก่นมากขึ้น” สแตนลีย์กล่าว

ปัจจุบัน มีสถานกงสุลหลายชาติตั้งอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นเรียบร้อย อาทิ ฝรั่งเศส จีน ลาว เวียดนาม และน่าจะมีประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ ในส่วนของหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทยนั้น

ปัจจุบันมีทั้งหมด 35 หอการค้าต่างประเทศ มีสมาชิกรวม 7,500 บริษัท ล่าสุดมีบริษัท HM Clause จากกลุ่ม limagrain จากฝรั่งเศส จัดตั้งศูนย์วิจัยเมล็ดพันธุ์ในขอนแก่น และยังมีอีกหลายบริษัทที่สนใจ ซึ่งการจัดงาน kkbf หรือ Khon Kaen Business Forum – The VIRTUAL Event ในวันที่ 23-24 กันยายนนี้ ก็จะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนท้องถิ่น จนทำให้เกิดการลงทุนร่วมกันในหลายๆ ธุรกิจ

ทั้งนี้ ตัวเลขการลงทุนของต่างชาติในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มี 801 โครงการ มูลค่าการลงทุน 386,200 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในกิจการด้านพลังงานไฟฟ้าประมาณ 30%

<img class="alignnone size-full wp-image-51285" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/ขอนแก่น_003.jpg" alt="" width="600" height="338" />
<h3>TCEB เร่งจัดงานบูมเมืองไมซ์</h3>
<strong>ศุภวรรณ ตีระรัตน์</strong> รองผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB กล่าวว่า อุตสาหกรรมไมซ์ในประเทศไทย จะเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยทีเส็บกำลังดำเนินการร่วมกับกรมอนามัย เพื่อนำเรื่องเข้าศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. เพื่อให้เกิดการผ่อนปรน ให้สามารถจัดงานไมซ์ได้ ทั้งในส่วนของงานประชุมและการจัดแสดงสินค้ารวมถึงกิจกรรมที่เป็นอีเว้นท์ทั่วไปกับงานเทศกาลต่างๆ รวมถึงงานวิ่งต่างๆ

“ตอนนี้เมืองไมซ์ซิตี้ทั้ง 10 เมือง ยืนยันว่าจะเปิดเมืองและจัดงานได้ จะเราจะอยู่ภายใต้แคมเปญ Smart Control and Living with Covid-19 ของกรมอนามัย โดยขอให้เริ่มจัดได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป โควิดไม่ได้หายไป แต่ผู้ที่จัดงานไมซ์จะควบคุมดูแลและสร้างความมั่นใจให้ผู้เข้าร่วมงานว่า มีมาตรการในการป้องกันดูแลการแพร่กระจายเชื้อของโควิด 19 อย่างเคร่งครัด

โดยเมื่อ ศคบ.ผ่อนปรนให้จัดงานไมซ์ได้แล้ว ผู้ว่าราชการของแต่ละจังหวัด จะเป็นผู้กำหนดว่าสามารถจัดงานประเภทไหนได้บ้าง จำนวนผู้เข้าร่วมงานควรเป็นเท่าไหร่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด ต้องบอกว่าตอนนี้เมืองไมซ์ซิตี้มีความพร้อมแล้ว ขอนแก่นเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน” ศุภวรรณกล่าว

สำหรับที่จังหวัดขอนแก่นจะมีการจัดงานต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน จะจัดงาน Air Rail and Logistic Expo 2021 เป็นงานแสดงสินค้าเกี่ยวโลจิสติกส์ เพื่อกระตุ้นและแสดงศักยภาพด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ขนส่ง ระบบราง การบินและท่าอากาศยาน ในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง งาน FOOD AND AGRO TECH 2021 เพื่อแสดงถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหาร และการเกษตรสมัยใหม่

<strong>ชาญณรงค์ บุริสตระกูล</strong> Co-Founder KKTT ผู้ร่วมก่อตั้ง บจก.ขอนแก่นพัฒนาเมือง (เคเคทีที) ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ในจังหวัดขอนแก่นมีบริษัทไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลกหลายบริษัท เช่น บริษัท ขอนแก่นแหอวน ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของโลก บริษัท ช.ทวีที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัทผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์ชั้นนำ เช่น nike adidas บริษัทเหล่านี้ มี order มากขึ้น และมีหลายบริษัทที่เริ่มย้ายฐานการผลิตมาขอนแก่น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีคนที่ย้ายกลับคืนถิ่นบ้านเกิดเพื่อเข้าสู่ภาคการเกษตรมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น

ทั้งนี้ ขอนแก่นถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง จัดเป็นเมืองสมาร์ท ซิตี้ ที่มีครบทั้ง 7 ด้าน และกำลังพัฒนาเมืองไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมระบบราง ศูนย์กลางการแพทย์และสมุนไพร (ขอนแก่น เมดิโคโพลิส) และมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ถือเป็นนิวเอสเคิร์ฟใหม่ที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD.html">โซลูชันแห่งโลกการเงินอนาคต</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยคิกออฟดึงต่างชาติลงทุนเล็ง "ขอนแก่น" ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ภาพฝัน "สมาร์ท ซิตี้" ของไทย ชีวิตในเมืองอัจฉริยะ

<h2><span style="font-size: 20px;">“เทคโนโลยีจะดีแค่ไหนก็ไร้ค่า หากไม่ได้สร้างประโยชน์แก่มนุษยชาติ และจะดียิ่งขึ้นเมื่อนำไปใช้ส่งเสริมคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น”</span></h2>
แผนกเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติเผยแนวโน้มจำนวนประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 9.8 พันล้านคนในปี 2593 และประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเป็น 2.1 พันล้านคนในปีเดียวกัน โดยจำนวนประชากรและผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่นานาประเทศตื่นตัวและเตรียมสร้างต้นแบบ <strong>“Smart City”</strong> หรือ <strong>“เมืองอัจฉริยะ”</strong>

Smart City จะช่วยแก้ปัญหาอนาคตเมืองที่จะมีขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรอาศัยในเมืองมากขึ้น การบริหารจัดการซับซ้อนแต่ทรัพยากรมีจำกัด ซึ่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับเมืองเพื่อเพิ่มความน่าอยู่ ล้วนมีเป้าหมายให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณะของเมืองอย่างเหมาะสม รวดเร็ว สะดวกสบาย ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น

<figure><img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/479628fa00ec13be3b41bd4bf8221a35.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption> จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 9.8 พันล้านคน และประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเป็น 2.1 พันล้านคนในปี 2593 ทำให้การบริหารจัดการเมืองแบบ “เมืองอัจฉริยะ” มีความสำคัญ</figcaption></figure>

<span style="color: #ff0000;">สำหรับการทำเมืองอัจฉริยะจำเป็นต้องมีข้อมูลต่างๆ เชื่อมโยงถึงกันจึงจะพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละพื้นที่</span> เพิ่มการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งแง่สุขภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไป สภาพแวดล้อมในชุมชน ระบบการขนส่ง ระบบการจัดการพลังงาน ระบบการดูแลสุขภาพของคนปกติ ผู้พิการ ผู้ป่วย และผู้สูงวัย การสร้างต้นแบบเมืองอัจฉริยะทั่วโลกมักเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐภาคเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยี นักวิชาการ นักวิจัย ตลอดจนประชาชนในพื้นที่

&nbsp;
<h2><span style="font-size: 20px;">Data Science กับการสร้างฐานข้อมูลคนเมือง</span></h2>
สหรัฐอเมริกา ในยุคประธานาธิบดี <strong>Barack Obama</strong> มีนโยบายและระดมทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จัดทำเรื่อง <strong>Smart Health </strong>ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ระดับประเทศ มีนักวิจัยเข้าร่วมมากมาย เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพและปรับปรุงการให้บริการดูแลสุขภาพของประชากร

เป็นที่มาของการเสนอแนวคิดต่อมลรัฐ Louisiana ให้พัฒนา <strong>โครงการ</strong><strong> Urban Data Science</strong> (Smart City, Smart Home, Smart Health &amp; Smart Living) เป็นการนำแนวคิดรวบรวมเชื่อมต่อข้อมูล Internet of Things :IoTs จากทุกอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล โดยมีคณะทำงานที่เรียกว่า “Louisiana Biomedical Research &amp; Informatics Collaboratory” เป็นผู้รับผิดชอบโครงการเพื่อนำเสนอของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ

<figure><img style="width: 680px; height: 455px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/084321f5ab60bc75df2933aea2bb2b87.png" alt="" width="680" height="455" /><figcaption> โครงการ Urban Data Science ภายใต้นโยบาย Smart Health ยุคปธน. Barack Obama ของสหรัฐฯ จะเก็บข้อมูลบุคคลจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชนเพื่อนำมาประมวลภาพรวมสุขภาพประชาชนในพื้นที่นั้นๆ</figcaption></figure>

เงินทุนที่ได้รับนำไปสู่ความร่วมมือกับคณะทำงานขององค์กรอื่นๆ เพื่อสร้าง <strong>health data mart</strong> หรือรายงานประวัติซึ่งเป็นข้อมูลของโรงพยาบาลในการเก็บข้อมูลประชากรจากที่มีประมาณ 4.6 ล้านคน ได้ถึง 4.3 ล้านคน ความร่วมมือนี้เชื่อมต่อกับโรงพยาบาลได้ทั้งมลรัฐ ทั้งส่วนที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐ ทำให้ปัจจุบันมี hospital data และ medical data ซึ่งสำคัญมากต่อการใช้ตรวจวินิจฉัยโรคต่าง ๆ

ห้องปฏิบัติการวิจัยที่ Louisiana ได้ทำวิจัยด้านข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อชีวิตความเป็นอยู่อัจฉริยะ (Personal Data Intelligence Living) ซึ่ง <strong>living data</strong> เหมือนการวิเคราะห์ไปถึงรากเหง้าของปัญหา ตรวจสอบได้ว่าจากพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้มีโอกาสจะเกิดโรคแบบนี้ คือการใช้วิทยาศาสตร์ข้อมูล (data science) เชื่อมโยงเข้าไป

&nbsp;
<h2><span style="font-size: 20px;">Data เพื่อแก้ปัญหาสังคม</span></h2>
การดำเนินการเช่นนี้ ต้องเชื่อมั่นในทีมพันธมิตรร่วมวิจัยเพื่อให้ได้ดัชนีบ่งชี้ระดับความมีสุขภาพดี ถ้าลักษณะออกมาแบบนี้ควรทำอย่างไรต่อ แก้ไขปัญหาด้วยการออกกำลังหรืออื่นใด โดยหวังว่า<span style="color: #ff0000;">จากจุดเริ่มต้นจะต่อยอดออกไปให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเป็นผลงานของ data science ที่นำมาใช้พัฒนาวิจัย ตั้งเป้าหมายภายในเวลา 5 ปี จะสามารถสร้าง index ของแต่ละบุคคลไปต่อยอดในข้อมูลของเมืองที่สามารถสร้างเป็นข้อมูลด้านสาธารณสุข</span>

<img style="width: 350px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6e615e8e14a28aeb18f94ba424380fcd.png" alt="" />

สมมติตามข้อมูลจากโครงการทำ index ได้ว่าสีนี้คืออะไร เช่น ถ้าพื้นที่ที่โชว์เป็นสีแดงทั้งหมด ก็อาจจะลงลึกเข้าไปดูเทียบกับข้อมูลอื่นๆ เช่น ระบบประปาในพื้นที่นั้นเป็นอย่างไร ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นอย่างไร ซึ่งทำให้สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกันได้

ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่บริเวณนี้พบประชาชนเป็นพยาธิตับมากก็อาจต้องไปทำงานร่วมกับผู้กำหนดนโยบาย หรือ หน่วยงานด้านปกครอง ว่าหมู่บ้านนี้ ตำบลนี้ จะต้องมีกิจกรรมอบรม แก้ไขเรื่องดังกล่าว โดยจะมีข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับไปได้ถึงพฤติกรรมการบริโภคของคน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ เป็นต้น มาเป็นฐานให้ทราบสาเหตุและเข้าไปดำเนินการแก้ไข

&nbsp;
<h2><span style="font-size: 20px;">จาก</span><span style="font-size: 20px;"> Louisiana สู่ VISTEC</span></h2>
นอกจากงานวิจัยสร้างฐานข้อมูลดูแลสุขภาพของ Louisiana แล้ว ก็ได้นำความร่วมมือมาสู่ไทยระหว่าง <strong>สถาบันวิทยสิริเมธี </strong><strong>(VISTEC)</strong> และ <strong>Louisiana Biomedical Research &amp; Informatics Collaboratory</strong> ในโครงการ <strong>“The Urban Data Science Project”</strong> ซึ่งมี Smart Living เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนให้ดีขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มของ Smart City

<img style="width: 350px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bf58706fdf6063ab6e5519466b87c172.png" alt="" />

หากโครงการนี้สำเร็จจะมีประโยชน์ต่อสังคมและพฤติกรรมด้านสุขภาพของคนไทย ตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับประเทศ เพราะข้อมูลที่เก็บมาจากสาขาต่างๆ เป็นข้อมูลแบบมีโครงสร้างและไม่ได้จัดโครงสร้างจำนวนมหาศาลที่ต้องนำองค์ความรู้ data science มาจัดการ ถ้าเป็นข้อมูลหมู่บ้าน คนอยู่ในบ้าน มีพ่อแม่ลูก อาจจะมีความสัมพันธ์ข้อมูลรูปแบบพฤติกรรมแต่ละครอบครัวแตกต่างกัน ขยายสู่ความแตกต่างของแต่ละหมู่บ้าน ตำบล อำเภอต่อๆ ไป

การดำเนินการของคณะวิจัยเป็นการนำข้อมูลที่ได้จาก IoTs ที่อนุญาตให้อุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกันสื่อสารและโต้ตอบกับผู้อื่นได้โดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากมนุษย์ภายใต้โปรโตคอลอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันใช้งานแพร่หลายเพื่อจัดการปัญหาต่างๆ เช่น home automation การขนส่ง และห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น ส่วนใหญ่มุ่งเน้นรูปแบบของ urban IoTs เพื่อการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด โดยนำเทคโนโลยีหลากหลายสาขามาปรับปรุงการดำเนินชีวิต การดูแลสุขภาพ และบริการสาธารณะให้ดีขึ้นในเมืองที่อยู่อาศัย ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลคลาวด์ และ IoTs คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการช่วงแรกเพื่อเก็บข้อมูลและสรุปรายงานประมาณ 1-2 ปี

เมื่อโครงการเล็กๆ สำเร็จจะขยายต่อไปสู่โครงการขนาดใหญ่ได้ กระทั่งอาจนำไปสู่แผนสุขภาพแห่งชาติยุค 4.0 ทั้งนี้ต้องขึ้นกับฝ่ายนโยบายจะนำไปต่อยอดอย่างไร

&nbsp;

<img style="width: 250px; height: 302px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d928658d4ddbdbf60b82dcdab1bd99da.png" alt="" />

ศาสตราจารย์ ดร. โชคชัย เลี้ยงสุขสันต์
คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC)

<hr />

<a href="http://www.aisbookstore.com/Shop/Magazine/FORBES/8333a5bf-dabd-486f-acef-b35ccadd0cd5"><span style="color: #008080;">คลิกเพื่ออ่าน "สร้าง Smart Living เพื่อสังคมแสน Smart" ฉบับเต็ม จาก Forbes Thailand ประจำเดือนพฤศจิกายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</span></a>
<a href="http://www.aisbookstore.com/Shop/Magazine/FORBES/8333a5bf-dabd-486f-acef-b35ccadd0cd5"><img style="width: 250px; height: 330px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fa338d6758136ad1b1c9c4bff5c426f6.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events