<h2 class="p1">Singapore Airlines พร้อมเปิดให้บริการเที่ยวบินตรงที่ยาวที่สุดในโลกเส้นทางใหม่ จาก Changi International Airport สิงคโปร์ สู่ John F. Kennedy Airport (JFK) นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา</h2>
เส้นทางการบินใหม่นี้ นับเป็นการทำลายสถิติเที่ยวบินตรงที่ยาวที่สุดในโลกของตนเอง จากเส้นทางเดิมที่เคยเปิดให้บริการจาก Changi Airport ไปสู่ Newark Liberty International Airport รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนตุลาคม 2018 
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ สายการบินแห่งนี้ได้เปิดให้บริการเส้นทางการบินจาก JFK ไป Frankfurt เยอรมัน เป็นส่วนหนึ่งของไฟล์ทบินตรงที่ยาวที่สุดที่กำลังจะเปิดให้บริการ แต่ก็ต้องหยุดให้บริการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับไฟล์ทอื่นๆ ที่ไป Seattle และ San Francisco ขณะที่เที่ยวบินไป Los Angeles ยังคงเปิดให้บริการอยู่หลายเที่ยวบินต่อสัปดาห์
<img class="alignnone wp-image-36150" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/sia.jpg" alt="Singapore Airlines" width="720" height="480" />
สำหรับเส้นทางการบินตรงสิงค์โปร์ (SIA) - นิวยอร์ก (JFK) นี้ จะครอบคลุมระยะทางทั้งสิ้น 9,537 ไมล์ โดยจะเปิดให้บริการเที่ยวแรกในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2020 เป็นต้นไป และมีกำหนดการบิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังต่อไปนี้
เที่ยวบินที่ SQ24 จะออกเดินทางจากสิงคโปร์ เวลา 02.25 น. ของวันจันทร์ พุธ และเสาร์ และจะถึงในวันเดียวกันเวลา 7.30 น. โดยใช้เวลาเพียง 18 ชั่วโมง 5 นาที
ขณะที่เที่ยวบินที่ SQ23 จะออกเดินทางจากมหานครนิวยอร์ก ในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลา 22.30 น. และถึงสิงคโปร์ 2 วันหลังจากนั้นเวลา 06.10 น. โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 18 ชั้วโมง 40 นาที
“เส้นทางบินไปสู่ JFK International Airport จะทำให้ Singapore Airlines สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่หลากหลาย ลดปัญหาในการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้โดยสารที่มาเปลี่ยนเที่ยวบินที่ Changi Airport” อ้างอิงจากแถลงการณ์ของสายการบิน
อย่างไรก็ดี การกำหนดเส้นทางใหม่นี้ ได้ทำให้สายการบินพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของ Singapore อย่าง United Airlines ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการเพียงแค่ที่สนามบิน Newark International Airport ต้องเริ่มดำเนินการฟื้นคืนเส้นทางบริการบางส่วนไป JFK เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับสายการบินพันธมิตรจากนานาชาติ อย่าง Singapore Airlines, Lufthansa และ SWISS ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2021 
ขณะที่ด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ “SIA คาดการณ์ว่า จะมีความต้องการใช้บริการขนส่งสินค้าจำนวนมากจากหลากหลายอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเภสัชกรรม อีคอมเมิร์ซ และเทคโนโลยี ซึ่งเส้นทางการบินใหม่นี้ จะเป็นเส้นทางบริการขนส่งสินค้าเพียงเส้นเดียวจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ไปสู่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าภายในภูมิภาค ของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ มากมาย”
แม้ว่าขณะนี้ หลายๆ สายการบินจะเริ่มลดเส้นทางการบินลง แต่ Lee Lik Hsin รองประธานกรรมการพาณิชย์ ของ Singapore Airlines กลับมองว่า เที่ยวบินระหว่าง SIA และ JFK เป็นก้าวสำคัญที่จะกลับมาสร้างเครือข่ายทั่วโลกอีกครั้ง เพราะการให้บริการเที่ยวบินตรง เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะไปสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้
"เราพร้อมจะยกระดับการบริการในทุกๆ ด้าน และจะทยอยกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางการบินในจุดต่างๆ เพราะความต้องการทั้งจากผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าเริ่มกลับมาแล้ว พร้อมกับหาโอกาสสำหรับการเติบโตในระยะยาว” Lee Lik Hsin กล่าว 


<figure><img class="wp-image-36151" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/jfk.jpg" alt="Singapore Airlines" width="720" height="480" /><figcaption> John F. Kennedy International Airport (JFK)</figcaption></figure>
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เส้นทางใหม่นี้จะให้บริการโดยเครื่องบินของบริษัทแอร์บัสประเภท A350-900 ต่างจากเดิมที่เคยใช้<a style="color: #003300;" href="https://www.forbes.com/sites/ericrosen/2018/10/11/worlds-new-longest-flight-from-singapore-to-newark-launches-today/#8af79402aca3"> A350-900ULR </a>ในเส้นทางการบินไปสู่ Newark International Airport ด้วยเหตุที่ว่า ภายใน ULR ประกอบไปด้วยชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัดแบบพรีเมียมรวมเป็น 161 ที่นั่ง
ขณะที่ A350-900 มีทั้งหมด 253 ที่นั่ง โดยแบ่งได้เป็นชั้นธุรกิจ 42 ที่นั่ง ชั้นประหยัดแบบพรีเมียม 24 ที่นั่ง และชั้นประหยัด 187 ที่นั่ง ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า ทางสายการบินไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการในช่วงนี้เป็นจำนวนมาก จึงหันไปเน้นการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า เพื่อที่จะสร้างผลตอบที่ดี หรือบางทีอาจเป็นไปได้ว่า เราอาจจะเห็นการกลับไปใช้รุ่น ULR อีกครั้ง ซึ่งมีแต่ชั้นพรีเมียมเพียงอย่างเดียว  เมื่อจำนวนผู้โดยสารกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ สำหรับการให้บริการบนเครื่องบินอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ ในช่วงก่อนที่จะเกิดโรคระบาดขึ้น ทางสายการบินได้เปิดตัว<a style="color: #003300;" href="https://www.forbes.com/sites/ericrosen/2018/08/15/singapore-airlines-partners-with-canyon-ranch-on-in-flight-health/#4dbb4d475f7a">การบริการด้านสุขภาพและอาหาร</a> ภายใต้ความร่วมมือกับธุรกิจสปาและโรงแรม อย่าง Canyon Ranch และ COMO ซึ่งผู้โดยสารสามารถเลือกทานเมนูอาหารเพื่อสุขภาพได้
แต่ในปัจจุบัน การดูแลสุขภาพของผู้โดยสาร จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความสะอาดเป็นหลัก ซึ่งทางสายการบินได้มีมาตรการรักษาความสะอาด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเครื่องบินปราศจากเชื้อโรค โดยการติดตั้งเครื่องกรอง HEPA ที่จะหมุนเวียนอากาศภายในลำทุกๆนาที และกรองฝุ่น ไวรัส และแบคทีเรียออก
และที่สำคัญ เครื่องบินทุกลำจะได้รับการทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนให้บริการ และตลอดการเดินทาง ขณะที่ลูกเรือต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล อันได้แก่ แว่นครอบตา หน้ากากอนามัย และถุงมือยาง พร้อมมอบชุดดูแลสุขภาพให้กับผู้โดยสาร ซึ่งประกอบด้วย หน้ากากอนามัย เจลล้างมือและผ้าเช็ดฆ่าเชื้อ โดยที่ผู้โดยสารทุกท่านจะต้องสวมหน้ากากตลอดระยะเวลาการเดินทาง
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Singapore Airlines Will Launch Non-Stop Flights To New York JFK Next Month เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/europe/kjell-inge-rokke-%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b9%8c-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89.html">Kjell Inge Rokke เศรษฐีชาวนอร์เวย์ ผู้สร้าง “ซูเปอร์ยอช์ต” ลำใหญ่ที่สุดในโลก</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events